xs
xsm
sm
md
lg

Pwc แนะ 3 กลยุทธ์ดันอาเซียน หลุดประเทศโตช้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


Pwc แนะกลุ่มประเทศอาเซียนพัฒนาหลุดพ้นจากการเติบโตอย่างเชื่องช้าด้วย 3 กลยุทธ์ “บริหารเชิงท้องถิ่น-ฟินเทค-พันธมิตร”-7 กลุ่มอุตสาหกรรมเด่น “ยานยนต์-การเงิน-สินค้าผู้บริโภค-การแพทย์-โรงกลั่น-สื่อสาร-ขนส่ง”

ศูนย์วิจัยตลาดเติบโตสูงของ PwC เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุดประจำปี 2561 ในหัวข้อ “The Future of ASEAN - Time to Act” โดยนำเสนอมุมมองต่อนโยบายที่รัฐบาลในกลุ่มประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน(ASEAN) ควรต้องพิจารณา เพื่อให้มั่นใจได้ว่าภูมิภาคนี้จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง และมีกลยุทธ์สำหรับการเติบโตในอนาคตซึ่งครอบคลุม 7 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน, อุตสาหกรรมสินค้าผู้บริโภค, อุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์, อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง, อุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม และอุตสาหกรรมขนส่ง

การรวมตัวของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนที่เพิ่งครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นความสำเร็จของการรวมตัวครั้งสำคัญของอาเซียนที่ครั้งหนึ่ง ความขัดแย้งและความยากจน เคยเป็นคุณลักษณะที่ใช้อธิบายภูมิภาคนี้ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 มาถึงวันนี้ ไม่เพียงแต่อาเซียน จะมีจำนวนประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหลังจากวันที่ก่อตั้ง แต่ยังสามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์การเงินในเอเชียปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง และวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551-2552 มาได้ จนกลายเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลกอยู่ปัจจุบัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาเซียนยังได้สร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรส่งผลให้ประชากรหลายล้านคนทั่วทั้งภูมิภาคหลุดพ้นจากความยากจน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ผลิตภาพแรงงานที่อ่อนแอ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การพึ่งพาการค้าภายจากภายนอกที่มากเกินไป และจุดบอดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ และการขาดตัวกลางที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจในระดับประเทศที่เพียงพอ ยังคงเป็นคำถามสำคัญที่ท้าทายการเติบโตอย่างยั่งยืนของอาเซียนในอนาคต

ดังนั้น รายงาน “The Future of ASEAN - Time to Act” ได้นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับการพัฒนาภูมิภาคอาเซียนให้หลุดพ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเชื่องช้า รวมทั้งการเพิ่มมาตรการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุน พัฒนาสถาบันการเงิน รวมทั้งบุคลากร และขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี โดยยังชี้ว่าภาคเอกชนจะมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างความแข็งแกร่งให้กับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคในระยะต่อไป แต่นั่นแปลว่า ภาคเอกชนจะต้องทำงานใกล้ชิดกับภาครัฐเพื่อพัฒนา และกำหนดเงื่อนไขที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้น นอกเหนือจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

โดยเมื่อมองไปข้างหน้า เราเห็นโอกาสการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของภาคเอกชนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน, อุตสาหกรรมสินค้าผู้บริโภค, อุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์, อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง, อุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม และอุตสาหกรรมขนส่ง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้จะต้องนำกลยุทธ์ทางด้านนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับการดำเนินงานเพื่อให้ประสบความสำเร็จ และเพื่อรับมือกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่างๆ อีกทั้ง ตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาค

กลยุทธ์ใหม่เหล่านี้อาจถูกจัดให้อยู่ใน 3 หมวดหมู่ ได้แก่

1. การปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารให้เป็นแบบท้องถิ่น : การเปลี่ยนแปลงวิธีการไปสู่ระดับท้องถิ่นมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น การจัดหาแหล่งผลิต และการจัดจำหน่าย ผ่านการพัฒนาให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในการปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์และการบริการให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด และผู้บริโภคอย่างแท้จริง (เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์)

2. การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ดิจิทัล : การนำความสามารถทางด้านดิจิทัลมาใช้ปรับปรุงกระบวนการผลิต การขนส่งสินค้าและบริการ รวมถึงการสื่อสารกับผู้บริโภคและกลุ่มธุรกิจ (เช่น อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน อุตสาหกรรมสินค้าผู้บริโภค และอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม)

3. การมีหุ้นส่วนและพันธมิตรทางธุรกิจ : การพัฒนาความร่วมมือทางธุรกิจ ผ่านการมีหุ้นส่วนหรือจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอื่น และผู้ประกอบการที่กำลังเข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม (เช่น ฟินเทค) เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง และรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งยังสามารถตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภคได้ในระดับที่ธุรกิจจะมีกำไร (เช่น อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และอุตสาหกรรมขนส่ง)

นายเดวิด วิเจอร์ราตน่า หุ้นส่วน และ หัวหน้าฝ่ายงานศูนย์วิจัยตลาดเติบโตสูง บริษัท PwC ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า เป็นที่น่าภาคภูมิใจว่า อาเซียนประสบกับความสำเร็จมากมายในช่วงระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้หมดเวลาของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบเชื่องช้าแล้ว เศรษฐกิจโลกกำลังต้องการให้อาเซียนเข้ามาช่วยเติมเต็มศักยภาพ และคว้าโอกาสของการเติบโตในอนาคต ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องลงมือปฏิบัติ


กำลังโหลดความคิดเห็น