บมจ. เอคิว เอสเตท โชว์ไตรมาสแรกปี 61 พลิกจากขาดทุนเป็นกำไรสุทธิ 22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 85 ล้านบาท หลังจากรับรู้รายได้จากการขายและบริษัทกว่า 169 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าปีนี้ เปิดเฟสใหม่ 3 โครงการ บนทำเลที่มีศักยภาพเพื่อสนองตอบความต้องการลูกค้า
บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด มหาชน หรือ AQ แจ้งงบการเงินประจําไตรมาส 1 ปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 เพิ่มสูงขึ้นถึง 84.51 ล้านบาท หรือคิดเป็น 374% โดยไตรมาส 1 ปี 2561 บริษัทมีผลกําไรสุทธิเบ็ดเสร็จรวมจํานวน 22.55 ล้านบาท พลิกจากงวดเดียวกันของปี 2560 ที่มีผลขาดทุนสุทธิเบ็ดเสร็จรวม 61.96 ล้านบาท
โดย Q1/61 บริษัทฯรับรู้รายได้ จากการขายและบริการของบริษัทและบริษัทย่อย จํานวน 169.40 ล้าน บาท เพิ่มขึ้นจํานวน 88.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 109.07 ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทฯ มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์คิดเป็นร้อยละ 80.31 ของรายได้จากการขายและบริการ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจำนวน 42.47 ล้านบาท มาอยู่ที่ 42.52 ล้านบาท เป็นกําไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ร้อยละ 35.35
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้รับดอกเบี้ยจากเงินเพิ่มทุนคงเหลือที่ได้นําไปลงทุนในตั๋วแลกเงิน (B/E) ซึ่งได้รับผลตอบแทน จำนวน 25.05 ล้านบาท และมีรายได้อื่นจํานวนรวม 48.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 295.81 รวมถึงบริษัทฯมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ทำให้รายจ่ายลดลงถึง 12.24 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.40
สำหรับแผนงานในปี 2561 บริษัทฯ เตรียม เปิดเฟสใหม่ 3 โครงการ บนทำเลศักยภาพ ตอบรับความต้องการของผู้บริโภค โดยชูจุดขาย Blue Printing Your Future บ้านที่เพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต เน้นบ้านที่ให้ Function ที่มากกว่า พร้อม spec premium ตอบโจทย์ลูกค้าที่เลือกบ้านที่คุ้มค่า คุ้มราคา ซึ่งโครงการดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีการเติบโตที่สูงขึ้น
ด้านความคืบหน้าในการขายที่ดินจำนวน 4,300ไร่ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่ ธนาคารกรุงไทย ล่าสุด กรมบังคับคดีจะจัดให้มีการประมูลขายที่ดิน ณ สำนักงานบังคับคดี จังหวัดสมุทรปราการ ครั้งแรกวันที่ 6 มิถุนายน 2561 นัดที่ 2 วันที่ 27 มิถุนายน 2561 นัดที่ 3 วันที่ 18 กรกฎาคม 2561 และนัดที่ 4 วันที่ 8 สิงหาคม 2561
สำหรับการขายทอดตลาดครั้งแรกราคาเริ่มต้นเท่ากับราคาที่คณะกรรมการกรมบังคับคดี เคยประเมินไว้คือ 9,000 ล้านบาท