“ทิสโก้” จับตาเดือนนี้ต่างชาติทิ้งหุ้นอีก 5-6 พันล้านบาท แนะเลี่ยงลงทุนกลุ่มพลังงาน ขณะที่เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคม จะเป็นไปในลักษณะแกว่งตัวออกข้าง (Sideway) ในกรอบ 1,765-1,810 จุด เพราะในเดือนนี้ไม่มีข่าว หรือประเด็นหนุนตลาดที่ชัดเจนเหมือนเดือนเมษายน อีกทั้งนักลงทุนต่างประเทศอาจจะขายหุ้นไทยและนำเงินออกนอกประเทศหลังฤดูกาลจ่ายปันผลจบลง แต่หุ้นไทยจะไม่ปรับตัวลดลงไปแรงกว่านี้ เพราะราคาหุ้นทั้งตลาดได้ปรับลงมาใกล้กับค่าเฉลี่ยในระยะยาวแล้ว ขณะที่ปัจจัยที่ต้องจับตาในเดือนนี้ คือ เงินบาทที่จะปรับตัวอ่อนค่าลง
ทั้งนี้ ปัจจัยการอ่อนค่าของเงินบาทจะยิ่งหนุนให้นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นออกมา ประกอบกับในปีนี้ยังมีประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เข้ามาเป็นปัจจัยเร่งอีกด้วย โดยบล. ทิสโก้ คาดว่า ในเดือนพฤษภาคม นักลงทุนต่างประเทศจะมีสถานะขายสุทธิในหุ้นไทยอีก 5,000-6,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 4 เดือนแรกของปี 2561 ที่มีสถานะขายสุทธิไปแล้วประมาณ 7.7 หมื่นล้านบาท และต้องจับตาว่านักลงทุนสถาบันภายในประเทศจะเข้ามาช้อนซื้อเหมือนเช่นทุกครั้งหรือไม่
“ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ส่งผลให้เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลง เป็นตัวแปรให้นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อ โดยจากข้อมูลในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว 4.1 แสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศมีสถานะซื้อสุทธิ 3.9 แสนล้านบาท และในช่วง 4 เดือนแรก นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อหุ้นไทยไปแล้วกว่า 3 หมื่นล้านบาท ทำให้กลัวว่านักลงทุนสถาบันในประเทศจะขายหุ้นไทยออกหลังจากซื้อเก็บไปเยอะแล้ว สำหรับหุ้นที่ประเมินว่านักลงทุนสถาบันในประเทศจะขายออก คือ PTT, PTTEP, IVL และ PTTGC โดยลักษณะการขายจะเทออกแบบรวดเร็ว เหมือนราคาหุ้น BBL, KBANK, SCB, EA ที่ปรับลงไปแล้วในช่วงก่อนหน้า” นายวิวัฒน์กล่าว
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในระยะนี้แนะนำให้นักลงทุนเริ่มขายหุ้นกลุ่มพลังงาน ออกไป เนื่องจากราคาน้ำมัน WTI ในไตรมาสที่ 2 น่าจะปรับตัวลงจากปัจจัย Over Supply มาอยู่ที่ 62 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากจุดสูงสุดในรอบ 3 ปีครึ่งที่ 65-70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ถือเป็นปัจจัยกระทบต่อผลประกอบการของกลุ่มพลังงาน ในไตรมาสที่ 2 ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำปรับตัวลงมาใกล้แนวรับสำคัญที่ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์แล้ว คาดว่าราคาจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นไปถึง 1,360 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ในเร็วๆ นี้ จากความกังวลของปัญหาฟองสบู่ในตลาดหุ้นทั่วโลกที่จะส่งผลให้ทองคำกลายเป็น Safe Heaven ที่น่าลงทุน แต่ทองคำยังมีปัจจัยลบที่ต้องจับตาคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ที่คาดว่าจะขึ้น 3 ครั้งในปี 2561 และอีก 4 ครั้งในปี 2562
หุ้นแนะนำเดือนนี้ มี 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่คาดว่ากำไรในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ออกมาดี คือ BEAUTY, BTS, CPN, HMPRO, PLANB และ QH 2. หุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคดี และราคาขึ้นน้อยกว่าตลาดโดยรวมมานาน คือ TRUE, DTAC, BLAND, WHA, ROJNA, CENTEL และ AP 3. หุ้นที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ และขณะนี้ราคาตกลงมาใกล้แนวรับระยะยาวแล้ว คือ SCC, SCB, EA, AMATA, STEC, CK และ PSH