“ทรีนีตี้” ชี้หุ้นไทยเดือนพฤษภาคม มีความน่าสนใจลดลง หลังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 กด Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทยต่ำสุดนับจากปี 2007 แนะเลือกลงทุนหุ้นปลอดภัยที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว
“ทรีนีตี้” เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนเดือนพฤษภาคม ในภาวะที่หุ้นไทยมีความน่าสนใจลดลง หลัง Bond yield 10 ปีของสหรัฐฯ ขึ้นมายืนเหนือ 3% ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 ส่งผลให้ Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับจากปี 2007 แถมโดนนักวิเคราะห์ปรับลดผลประกอบการในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบมีความเสี่ยงในระยะสั้น
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนพฤษภาคมว่า ปัจจัยสำคัญที่เกิดขึ้นล่าสุด ซึ่งมีอิทธิพลต่อทิศทางตลาด ได้แก่ การปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของ Bond yield สหรัฐฯ โดยรุ่นอายุ 10 ปีขึ้นมายืนเหนือ 3% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 การปรับตัวขึ้นมาของ Bond yield สหรัฐฯ นี้ ทำให้ Earning yield gap (ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนหุ้นไทยกับ Bond yield สหรัฐฯ) ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2007 บ่งชี้ว่า หุ้นไทยมีความน่าสนใจลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับพันธบัตรสหรัฐฯ
“ยิ่งไปกว่านั้น ทรีนีตี้ มองว่า ปัจจัยพื้นฐานภายใน หรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไม่ได้ช่วยสนับสนุนการปรับขึ้นของดัชนีด้วยเช่นกัน โดยล่าสุด ประมาณการ EPS ของ SET Index ถูกปรับลดลงทั้งในส่วนของปี 2018 และ 2019 ส่งผลให้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประมาณการ EPS ของตลาดหุ้นไทยถูกปรับลดลงตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้แก่ การที่นักวิเคราะห์ออกมาปรับลดผลประกอบการของกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นตลอดช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ แนะเลือกลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว IVL, MINT, ERW, AMATA, WHA, QH, AP, ADVANC,TRUE, KCE และ HANA” นายณัฐชาตกล่าว
นายณัฐชาตยังกล่าวต่อว่า อีกปัจจัยที่อาจกดดัน SET Index ได้แก่ความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันดิบอาจมีการปรับฐานลงในระยะสั้น ภายหลังจากปัจจัยสนับสนุนอย่างความตรึงเครียดในตะวันออกกลาง (Geopolitical risk) มีน้ำหนักลดลง และระดับอุปทานที่อาจเพิ่มขึ้น ภายหลังจากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ไม่นับรวมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกดดันต่อราคาโภคภัณฑ์โดยรวม
นอกจากนั้น อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจจำกัด Upside หรือการปรับขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน และ SET Index ได้แก่ การพักตัวของหุ้น PTT ภายหลังจากการแตกพาร์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นขนาดใหญ่อย่าง AOT มาก่อนหน้านี้
สำหรับธีมการลงทุนที่แนะนำสำหรับเดือนพฤษภาคม “ทรีนีตี้” แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น กลุ่มปิโตรเคมีที่ Spread ของราคาผลิตภัณฑ์ยังคงอยู่ในระดับสูง ได้แก่ IVL (ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท) กลุ่มโรงแรมที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการขยายตัวของการท่องเที่ยวเมืองรอง ได้แก่ MINT (ราคาเป้าหมาย 48 บาท) และ ERW (ราคาเป้าหมาย 8.90 บาท)
นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้นกลุ่มนิคมฯ และ Logistics properties ที่เตรียมได้ประโยชน์จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้นในช่วงถัดไป หุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ AMATA และ WHA (ราคาเป้าหมาย Consensus อยู่ที่ 27 บาทและ 4.60 บาทตามลำดับ)
รวมทั้งหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มี Dividend yield อยู่ในระดับสูง ได้แก่ QH (ราคาเป้าหมาย 3.85 บาท) และ AP (ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท) และกลุ่มสื่อสาร ที่มี Regulatory risk ที่ลดลง ประกอบกับความน่าจะเป็นที่จะได้รับมาตรการเยียวยาจากภาครัฐมีสูงขึ้น เลือก ADVANC (ราคาเป้าหมาย 217 บาท) และ TRUE (ราคาเป้าหมาย 8.30 บาท)
สำหรับนักลงทุนระยะสั้นประเภทเก็งกำไร แนะนำหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่ได้อานิสงส์จากการที่เงินบาทกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการอ่อนค่ามากที่สุดประจำปี ได้แก่ KCE (ราคาเป้าหมาย 88 บาท) และ HANA (ราคาเป้าหมาย 44 บาท)