ผู้ถือหุ้น “ผาแดงอินดัสทรี” ไฟเขียวจ่ายปันผล 1.50 บาทต่อหุ้น และออกวอร์แรนต์ 75.33 ล้านหน่วย จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมโดยไม่คิดมูลค่า พร้อมเพิ่มทุน 75.33 ล้านหุ้นรองรับการใช้สิทธิ คาดผลประกอบการปี 2561 มีแนวโน้มที่ดี เร่งขยายการลงทุนต่อเนื่อง
นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ PDI เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการประจำปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิน 339 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผลและกำหนดจ่ายเงินปันผล ในวันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังอนุมัติออกเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (PDI-W1) จำนวน 75,333,333 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตรา 3 หุ้นต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิโดยไม่คิดมูลค่า โดยราคาใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมเท่ากับ 33 บาทต่อหุ้น และมีอายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2561 จนถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 2564)
บริษัทจะเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 2,260,000,000 บาท เป็น 3,013,333,330 บาท โดยออกหุ้นสามัญ จำนวน 75,333,333 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท รวมเป็นจำนวน 753,333,330 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (PDI-W1) สำหรับการเพิ่มทุน ครั้งนี้จะส่งผลให้บริษัทฯ มีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคงมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายการลงทุนต่าง ๆ ในอนาคต รวมทั้งเสริมสร้างสภาพคล่อง และความพร้อมทางด้านเงินทุนที่จะลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีศักยภาพ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ และผลกำไรต่อบริษัทฯ ตลอดจนช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
นายฟรานซิส กล่าวต่อถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2561 ว่า รายได้และกำไรในปีนี้เชื่อว่าจะออกมาเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แต่คงจะไม่เทียบเท่ากับผลประกอบการในปี 2560 ซึ่งราคาโลหะสังกะสีโลกปรับตัวสูงและยังมีสต๊อกโลหะสังกะสีต้นทุนต่ำเช่นในปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้บริษัทฯ มีรายได้และกำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทนของกลุ่มพีดีไอ เอ็นเนอร์ยี ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ดำเนินการผลิตทั้งในและต่างประเทศแล้ว ทั้งสิ้น 50 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายจะลงทุนขยายกำลังการผลิตให้ได้อีก 100 เมกะวัตต์ภายในปีนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ยุติธุรกิจสังกะสีในกระบวนการผลิตแบบเดิมไปเป็นที่เรียบร้อย และปรับสู่ธุรกิจการค้าโลหะสังกะสีแบบเต็มตัวในปีนี้ และมั่นใจว่าการจำหน่ายโลหะสังกะสีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่จำนวน 50,000 ตันต่อปี
“บริษัทฯ มีผลประกอบการที่ดีและมีกำไรสะสมอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งมาก มีกระแสเงินสดที่พร้อมในการลงทุน ทั้งนี้ เรายังคงมุ่งมั่นขยายธุรกิจต่อไป มองหาโอกาสที่จะลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ที่มีความคุ้มค่า และได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นในธุรกิจพลังงานทดแทน บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและวัสดุรีไซเคิล รวมถึงการเข้าซื้อกิจการที่น่าสนใจ” นายฟรานซิส กล่าว
อนึ่ง ผลประกอบการในปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรสูงสุดในรอบ 10 ปี และยังเป็นอันดับสามในรอบ 33 ปี ของบริษัทฯ โดยมีผลกำไรสุทธิ จำนวน 905 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 89 จากช่วงเดียวกันของปี 2559