โบรกเกอร์ ประเมินหุ้น “ทุนธนชาต” แข็งแกร่ง ไตรมาส 1/61 กำไรสุทธิ 1.9 พันล้านบาท สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แนะนำให้ซื้อลงทุน ราคาเป้าหมายเป็นหุ้นละ 64 บาท จากราคาตลาดปัจจัย 54 บาท ด้าน “TCAP” เผยกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 13 ไตรมาส ผลจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ย 12.06% พร้อมชงผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีกหุ้นละ 1.30 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด ประเมินหลักทรัพย์บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งหลังจากประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2561 และสามารถควบคุมสินเชื่อด้อยคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลประกอบการสูงกว่าที่ได้ประมาณการ 5-8% ซึ่งเป็นหุ้นที่ยังแนะนำให้ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 61 อยู่ที่ 64 บาท จากราคาปัจจุบัน 54 บาท (24 เม.ย.)
TCAP แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 3.9 พันล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท จำนวน 1.9 พันล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อน 18% ดีกว่าที่ บล. เคที ซีมิโก้ คาดการณ์กำไรสุทธิไว้ที่ 1.79 พันล้านบาท หรือ 8% และดีกว่าตลาดคาด (1.81 พันล้านบาท) 5%
สำหรับโดยปัจจัยหลักที่ผลการดำเนินงานดีกว่าคาด มาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากการจัดการกองทุน ค่านายหน้าจากธุรกิจหลักทรัพย์ และค่านายหน้าจากการเป็นตัวแทนขายประกันภัย/ประกันชีวิต รวมถึงรายได้เบี้ยประกันภัยรับสุทธิ
สอดคล้องกับ บล. ทรีนีตี้ ประเมินผลงาน TCAP กำไรไตรมาสแรกยังแกร่ง แม้ไม่มีรายการพิเศษเช่นในไตรมาสก่อน ขณะรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจากไตรมาสก่อนที่มีกำไรจากการขายเงินลงทุน การสำรองหนี้สูญกลับมาอยู่ในระดับปกติ ใกล้เคียงกับประมาณการทั้งปีที่คาดไว้ และในครึ่งปีหลังอาจเห็นภาษีจ่ายเพิ่มขึ้นหลังหมดผลประโยชน์ทางภาษี อย่างไรก็ตาม ทั้งในด้านรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่คาดว่าจะลดลง จะเป็นปัจจัยชดเชย ทำให้คาดกำไรทั้งปียังเติบโตได้ จึงแนะนำซื้อเป้าหมายราคาที่ 64 บาท อิง PBV 1.14 เท่า โดยราคาหุ้นปัจจุบันที่ซื้อขายกันในระดับ Forward PBV 1.0 เท่ายังเป็นระดับที่ Upside น่าสนใจ
TCAP ระบุเพิ่มเติมว่า กำไรสุทธิไตรมาสนี้เติบโตขึ้นต่อเนื่อง และเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกัน โดยมีฐานรายได้รวมของบริษัทฯและบริษัทย่อยปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 5.21% จากปริมาณสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 22.86% จากกำไรสุทธิจากเงินลงทุนและรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิ ประกอบกับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานปรับลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนการตั้งสำรอง (PPOP) เพิ่มขึ้น 23.29% ขณะที่ค่าใช้จ่ายหนี้สูญหนี้สงสัยจะสูญปรับเพิ่มขึ้น 67.96% จากการขยายตัวของปริมาณเงินให้สินเชื่อ
ขณะที่สินทรัพย์รวมของกลุ่มธนชาตปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปีที่ผ่านมา สอดคล้องไปกับการขยายตัวของสินเชื่อซึ่งเป็นการเติบโตของสินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อ SME โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อเช่าซื้อที่เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.48% อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญทั้งหมดต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 127.47% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารเท่ากับ 18.80% ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปี 2560 ที่ 18.94%
ด้านอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ย (ROAA) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เฉลี่ย (ROAE) อยู่ที่ร้อยละ 1.53 และ 12.06 ตามลำดับ ขณะเดียวกัน นอกจากธุรกิจธนาคารที่เติบโตแล้ว TCAP ยังมีธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่ง Active เพิ่มขึ้น TCAP ได้ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินอื่นเข้ามาบริหารเพิ่มเติม
จากฐานะการเงินที่มั่นคงคณะกรรมการ TCAP ได้อนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 2.20 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่จ่ายเงินปันผลหุ้นละ 2.00 บาท โดยแบ่งเป็นเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.90 บาท เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา และคงเหลือเงินปันผลอีกหุ้นละ 1.30 บาท
ด้าน บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI มองกำไรไตรมาส 1/61 ของ TCAP ที่ 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า และงวดเดียวกันของปี 60 ซึ่งดีกว่าที่ KGI ประมาณการ เนื่องจากสามารถคุม OPEX ได้ดี รายได้จากค่าธรรมเนียมแข็งแกร่ง และอัตราภาษีจ่ายจริงที่ต่ำมากเพียงแค่ 4.6% เมื่อพิจารณาทั้งปัจจัยบวกและลบแล้ว มองว่าผลการดำเนินงานโดยรวมไตรมาสแรกนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากตัวชี้วัดความสามารถในการทำกำไรหลัก ๆ ยังคงดีขึ้น และเนื่องจากกำไรสุทธิงวดนี้ คิดเป็น 25% ของประมาณการกำไรปีนี้ ดังนั้น จึงยังคงคำแนะนำและราคาเป้าหมายเอาไว้เท่าเดิม
บล. โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรสุทธิ TCAP ไตรมาสแรกปีนี้ใกล้เคียงที่ประเมินไว้ และตลาดคาดการณ์ที่ 1,898 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ถือเป็นการเติบโตต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมที่โดดเด่น ประกอบกับรายได้ดอกเบี้ยที่โตตามสินเชื่อ แต่กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อยจากกำไรพิเศษการขาย MBK ที่ลดลง ประกอบกับ NPL ที่เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อบ้าน ทำให้การตั้งสำรองสูงขึ้น รวมถึง OPEX ที่เพิ่มขึ้นด้วย ในไตรมาส 2 คาดเติบโตตามสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่ม แต่คาดลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อน จากกำไรพิเศษเงินลงทุนที่ลดลง คงคำแนะนำเพียง Neutral ที่ TP18F 54 บาท