xs
xsm
sm
md
lg

กรุงศรี-ทีเอ็มบี-ธนชาต แจ้งกำไร Q1 โตร้อยล 10.1 ร้อยละ 9 และร้อยละ15

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) รายงานผลกำไรสุทธิไตรมาส 1/2561 ที่แข็งแกร่ง จำนวน 6.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 9.4% จากไตรมาส 4/2560 ปัจจัยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1/2561 มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิ และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม รวมทั้งการบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ

เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 1.5% คิดเป็นจำนวน 22.6 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 การเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบรรษัทญี่ปุ่น และบรรษัทข้ามชาติ สินเชื่อธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบรรษัทไทยปรับลดลงตามปัจจัยด้านฤดูกาลของการชำระคืนเงินให้สินเชื่อ ขณะที่เงินรับฝากเพิ่มขึ้น 3.8% หรือจำนวน 50.2 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 การเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากประจำ และออมทรัพย์ มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.67% ปรับลดลงจาก 3.81% ในไตรมาส 4/2560 สะท้อนถึงการปรับสัดส่วนของพอร์ตสินทรัพย์

ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 15.5% หรือจำนวน 1.19 พันล้านบาท จากไตรมาส 1/2560 ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง กองทุน และธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเช่าซื้อ และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบัตร กำไรจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ และรายได้หนี้สูญรับคืน มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 46.1% ปรับตัวดีขึ้นจาก 49.7% ในไตรมาส 4/2560

ด้านสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ระดับแข็งแกร่งที่สุดที่ 1.96% ปรับลดลงจาก 2.05% ในเดือนธันวาคม 2560 มีอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวดีขึ้นมากที่ 157.0% จาก 148.4% ณ สิ้นปี 2560 และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง อยู่ที่ 15.61% เทียบกับ 15.65% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560

นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2561 คาดว่า เศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ด้วยแรงสนับสนุนจากการเติบโตต่อเนื่องของภาคส่งออก และภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการเร่งเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของการลงทุนภาคเอกชน และความต้องการสินเชื่อ จากสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุน ส่งผลให้ธนาคารจึงยังคงประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ 4.0% และสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อที่ครอบคลุมในทุกกลุ่มธุรกิจที่ 6-8% สำหรับปี 2561

TMB แจ้งกำไรไตรมาสแรกเพิ่ม 9%-NPL 2.40%

ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)(ทีเอ็มบี) และบริษัทย่อย แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 2,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯ จำนวน 5,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และดำเนินการตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 2,305 ล้านบาท เพื่อคงอัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 142% จากสัดส่วน NPL ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 2.40%

ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2561 ธนาคารสามารถขยายฐานเงินฝากเพิ่มได้ 2% มาอยู่ที่ 6.23 แสนล้านบาท ขณะที่สินเชื่อเติบโต 0.4% จากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 6.28 แสนล้านบาท ซึ่งหลัก ๆ มาจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยโดยเฉพาะจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเติบโตได้อย่างต่อเนื่องที่ 4% ในไตรมาสหนึ่ง อันเป็นผลจากการที่ธนาคารปรับปรุงกระบวนการนำเสนอสินเชื่อให้มีความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในส่วนของสินเชื่อลูกค้าธุรกิจ พบว่า สินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงเติบโตได้ดีที่ 2% ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็กให้ภาพการฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยขยายตัวได้ 1% จากไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (Net Interest Margin) อยู่ที่ 3.02% เทียบกับ 3.21% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการขยายพอร์ตสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2% มาอยู่ที่ 6,030 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 22% มาอยู่ที่ 3,353 ล้านบาท ปัจจัยหนุนหลัก คือ รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่เติบโตได้เป็นอย่างดี หรือเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับไตรมาสหนึ่งของปีที่แล้ว โดยเฉพาะจากรายได้ค่าธรรมเนียมกลุ่มลูกค้ารายย่อยจากแบงก์แอสชัวรันส์ และกองทุนรวม ซึ่งเติบโตได้ 88% และ 59% ตามลำดับ

ส่งผลให้โดยรวม ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 9,383 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 4,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% ทำให้ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ อยู่ที่ 5,109 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) กล่าวว่า ก้าวต่อไป ทีเอ็มบี จะต่อยอดความสำเร็จจากการเป็นธนาคารที่บุกเบิกการยกเลิกค่าธรรมเนียมมาตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว โดยเรามุ่งมั่นที่จะเป็นธนาคาร ซึ่งให้ลูกค้าได้มากกว่า (Get MORE with TMB) เมื่อใช้ทีเอ็มบีเป็นธนาคารหลัก (Main Bank) เป็นประจำ ทั้งในด้านสิทธิประโยชน์ที่มากกว่า (More Benefits) ความคล่องตัว และเวลา เพื่อใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ หรือเพื่อทำสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าในชีวิต และธุรกิจ โดยไม่ต้องกังวลกับการจัดการด้านการเงินการธนาคาร (More Time) และมีโอกาสที่ดีกว่าทั้งในชีวิต และธุรกิจ (More Possibilities) โดยทีเอ็มบี มุ่งหวังที่จะเป็นธนาคารที่ลูกค้าได้ใช้ และชื่นชอบผลิตภัณฑ์และบริการของเราจนต้องบอกต่อ (The Most Advocated Bank in Thailand)

ธนชาตกำไรโตดีต่อเนื่อง
ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2561 โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,779 ล้านบาท เติบโตขึ้น 2.86% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 15.50% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากการดำเนินกลยุทธ์การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางที่เข้มข้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและครอบคลุมในทุกกลุ่ม ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆบนระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลแบงกิ้งให้มีความทันสมัยอย่างต่อเนื่อง

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในไตรมาส 1 ปี 2561 นี้ นับเป็นอีกหนึ่งไตรมาสของธนาคารที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการดำเนินธุรกิจ กำไรสุทธิของธนาคารเติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 13 ติดต่อกัน โดยธนาคารธนชาตและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105 ล้านบาท หรือ 2.86% จากไตรมาสก่อน ในขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิเติบโตขึ้น 507 ล้านบาท หรือ 15.50% ซึ่งเป็นผลจากฐานรายได้รวมของธนาคารปรับเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญได้ปรับเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของปริมาณสินเชื่อ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ยอดสินเชื่อรวมของธนาคารเติบโตขึ้น 4.47% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อ SME โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 8.92% ด้านเงินกองทุนของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ 18.80%”

นายสมเจตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารธนชาตได้ให้ความสำคัญกับลูกค้าอย่างสูงสุดมาโดยตลอด ด้วยการมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่หลากหลายและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การออกผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ Thanachart Ultra Savings รับดอกเบี้ยสูงสุดถึง 1.5% ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา การจัดโปรโมชั่นของบัตรเครดิตตระกูล Thanachart Diamond และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์บัตรเดบิต Thanachart Justice League Chibi สำหรับคนรุ่นใหม่ เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายจำนวนฐานลูกค้าของธนาคารที่เพิ่มมากขึ้น และนำไปสู่การเป็นธนาคารหลักของลูกค้าได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ธนาคารตระหนักถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้มากขึ้น โดยวันนี้ลูกค้าทุกท่านสามารถขอสินเชื่อของธนาคารผ่านแอพพลิเคชั่น Thanachart Connect ได้ด้วยตนเอง นับเป็นการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เสริมสร้างให้การทำธุรกรรมทางการเงินมีความทันสมัยบนมาตรฐานการบริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง และปลอดภัย ด้วยระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลแบงกิ้งในปัจจุบัน


กำลังโหลดความคิดเห็น