ผู้ว่าฯ ธปท. เผยจับตาผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน แม้กระทบไทยไม่มาก ยืนยันไม่มีนโยบายแทรกแซงค่าเงินเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนา The Symbol of your Visionary : ก้าวทันเศรษฐกิจ ก้าวนำการลงทุน ปี 2018 ของธนาคารกสิกรไทย โดยระบุว่า ต้องจับตาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เพราะแม้จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยไม่มาก เนื่องจากเหล็ก อลูมิเนียมและเครื่องซักผ้า มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ค่อนข้างน้อย แต่จะมีผลกระทบทางอ้อม เพราะอาจจะมีสินค้าจากประเทศที่ถูกกีดกันทางการค้าเข้ามาแย่งตลาดอาเซียนกับไทย และกระทบต่อผู้ผลิตของไทย ขณะเดียวกันถือเป็นโอกาสของผู้ส่งออกไทยเช่นกันที่จะสามารถส่งออกเพิ่มขึ้นไปจีน และสหรัฐฯ ซึ่งมีข้อพิพาทกันอยู่
“สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หากมีความรุนแรงมากขึ้น ย่อมมีผลกระทบต่อการค้าโลก ส่วนผลกระทบต่อไทยมีทั้งทางบวก และลบ และจะมีผลต่อสภาวะการลงทุนโดยตรง และการลงทุนในตลาดโลก ให้มีความผันผวนได้ ซึ่งยังเป็นความเสี่ยงที่ประเมินได้ยาก” นายวิรไท กล่าว
ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ จับตาไทยเป็นประเทศที่แทรกแซงค่าเงินเพื่อผลประโยชน์ทางการค้านั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ได้มีการทำหนังสือชี้แจงไปยังกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ แล้วว่า ไทยไม่มีนโยบายแทรกแซงค่าเงินเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า การดูแลค่าเงินบาท เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และเพื่อให้เอกชนสามารถปรับตัวได้ทัน เพราะบางช่วงเวลามีเงินทุนไหลเข้ามาในไทยจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แม้จะชี้แจงสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ก็ยังต้องติดตามรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมา ไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ มานานทั้งด้านความสัมพันธ์การค้า และการลงทุน
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ โตร้อยละ 4.1 จากเดิมร้อยละ 3.9 เนื่องจากส่งออกขยายตัวดี การท่องเที่ยวเติบโต แต่การดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างจำเป็นต้องผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจในต่างจังหวัด และเอสเอ็มอี ยังไม่ได้เติบโตมากเท่ากับตัวเลขเศรษฐกิจมหภาค
ด้านนายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยจะขยายตัวร้อยละ 4 แต่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะจากปัจจัยนอกประเทศ ทั้งการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ