คลังรายงานคืบหน้าแก้หนี้นอกระบบเดือนกุมภาพันธ์ 61 ไฟเขียวประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ 294 ราย จับกุมเจ้าหนี้-แก๊งทวงหนี้โหด 2,139 คน
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเดือนกุมภาพันธ์ 2561 โดยระบุว่า สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มีนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาต 450 ราย ใน 66 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 45 ราย กรุงเทพมหานคร 35 ราย และร้อยเอ็ด 29 ราย คืนคำขออนุญาต 52 ราย ใน 31 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาต 398 ราย ใน 65 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ 294 ราย ใน 60 จังหวัด
ทั้งนี้ สิ้นเดือนมกราคม 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 10,249 บัญชี รวมเป็นเงิน 273.51 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 26,686.09 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 5,614 บัญชี เป็นเงิน 177.71 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.97 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 4,635 บัญชี เป็นเงิน 95.80 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 35.03 ของจำนวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 3,081 บัญชี คิดเป็นเงิน 94.12 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน 220 บัญชี คิดเป็นเงิน 7.67 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.15 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน 67 บัญชี คิดเป็นเงิน 2.38 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.53 ของสินเชื่อคงค้างรวม
ส่วนสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 228,180 ราย เป็นเงิน 10,127.15 ล้านบาท จำแนกเป็นประชาชนทั่วไป 214,007 ราย เป็นเงิน 9,509.55 ล้านบาท และผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ 14,173 ราย เป็นเงิน 617.60 ล้านบาท
นายพรชัย กล่าวว่า การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการสะสมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มีการจับกุมผู้กระทำผิดรวมทั้งสิ้น 2,139 คน
