เมืองไทย ลิสซิ่ง เผยตัวเลขปล่อยสินเชื่อ 2 เดือนแรก ปี 61 พุ่ง 40% ขณะที่ควบคุม NPL อยู่หมัดต่ำกว่า 1.5% สนับสนุนผลงานลุ้นสร้างจุดสูงสุดต่อเนื่อง 13 ไตรมาสติดกันนับแต่เข้าตลาดหุ้น เชื่อเป้าหมายสินเชื่อปีนี้แตะ 8 หมื่นล้านบาท ทำได้สบาย พร้อมย้ำไม่เคยโขกดอกเบี้ยแพงเกินกรอบกฎหมายยืนยันได้จากความพึงพอใจจากลูกค้า แจงแผนเล็งเปลี่ยนชื่อเป็น MTC เพื่อขจัดความเข้าใจผิด ระบุประกอบธุรกิจ “สินเชื่อ” มิใช่ “เช่าซื้อ”
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงต้นปีที่ผ่านมาของบริษัทฯ เติบโตชัดเจน โดยปล่อยยอดสินเชื่อใหม่ 2 เดือนแรกมกราคม-กุมภาพันธ์ ขยายตัวกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากสาขาที่มีมากขึ้นช่วยเพิ่มฐานลูกค้าให้มีมากขึ้นตาม จึงมั่นใจว่าทั้งไตรมาสแรกปี 61 และตลอดทั้งปี ผลงานจะเติบโตได้ตามเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ตั้งไว้ 8 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 40% จากปีก่อน อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงเน้นควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างรัดกุมจึงทำให้ยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดราย หรือ NPL ยังคงอยู่ที่ระดับไม่เกิน 1.5% ต่อไป ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าอุตสาหกรรม ปีนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายเพิ่มลูกหนี้คงค้างสิ้นปีแตะ 5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 3.5 หมื่นล้านบาท
“2 เดือนแรกของปีนี้ นับว่าเริ่มต้นได้ดีมาก ธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมายทุกอย่าง ยอดการเติบโตสินเชื่อสูง 40% ตัวเลข NPL ไม่เกิน 1.5% และปีนี้เราก็ไม่น่าจะต้องมีการกันสำรองอะไรมากกว่าปกติ จึงยังมั่นใจว่า ผลประกอบการทั้งในไตรมาสแรก และทั้งปีนี้จะออกมาน่าประทับใจไม่แพ้ปีที่ผ่านมา” นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร กล่าว
ทั้งนี้ นับแต่ MTLS เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตัวเลขกำไรสุทธิย่อตัวลงเพียงแค่ในไตรมาส 4/57 เท่านั้น โดยทำได้ 146.76 ล้านบาท ทว่าหลังจากนั้น ปรับเพิ่มขึ้นทุก ๆ ไตรมาสต่อเนื่อง 12 ไตรมาสติดกัน โดยล่าสุด ไตรมาส 4/60 มีกำไรสุทธิ 742.79 ล้านบาท และหากไตรมาส 1/61 ผลงานเป็นไปตามเป้าหมายจะถือเป็นการสร้างสถิติทำกำไรเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 13
ด้านกระแสข่าวที่มีความเข้าใจผิดว่า บริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่คิดดอกเบี้ยสูงเกินกำหนดเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคขัดกับร่าง พ.ร.บ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินนั้น MTLS ขอยืนยันว่า เงื่อนไขสัญญากับลูกค้าของบริษัทฯ เป็นไปตามที่กรอบกฎหมายกำหนดเสมอมา ลูกค้าผู้ใช้บริการพึงพอใจและบอกต่อเป็นจำนวนมาก เป็นทางเลือกเพื่อประชาชนให้เข้าถึงวงเงินกู้ในระบบที่ความน่าเชื่อถือและสะดวกรวดเร็วเป็นมิตรกว่าเงินกู้นอกระบบที่อัตราดอกเบี้ยแพงเกินสมควรได้
ส่วนแผนการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล หรือ MTC นั้น เพื่อขจัดความเข้าใจผิดจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่ยังไม่รู้จักให้เข้าใจถูกต้องว่า บริษัทฯ ประกอบธุรกิจ “สินเชื่อ” มิใช่ “เช่าซื้อ” ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนชื่อยังอยู่เพียงขั้นคณะกรรมการเห็นชอบแล้วเท่านั้น ในรายละเอียดยังคงต้องรอการปรึกษาหารือ และผ่านการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นต่อไป
“ระยะนี้มีบุคคลภายนอกเข้าใจผิดเราในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องที่หาว่าเราคิดดอกเบี้ยแพงเกินจริงบ้าง หรือกระทั่งบางคนเข้าใจผิดว่า เราทำธุรกิจเช่าซื้อ ตรงนี้ผมต้องขอย้ำอีกครั้งว่า เราเป็นบริษัทมหาชนที่ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ อัตราดอกเบี้ยเราเป็นธรรมต่อลูกค้าแน่นอน เป็นทางเลือกที่ดีช่วยให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้สะดวก โดยไม่ต้องไปเสี่ยงกู้นอกระบบ ส่วนอีกประเด็นที่มีคนคิดว่าเราทำเช่าซื้อด้วยนั้น... เพื่อความชัดเจนบอร์ด จึงลงมติกันว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองไทย แคปปิตอล หรือ MTC เพื่อป้องกันความสับสนนี้” นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ กล่าวทิ้งท้าย