เมืองไทยลิสซิ่ง วอนรัฐลดอุปสรรคปรับเงื่อนไขสินเชื่อรายย่อย เพื่อเข้าถึงประชาชน หลังพบผู้ประกอบการนอกระบบ ยังคงเอาเปรียบโขกดอกเบี้ย แนะเพิ่มบทบาทให้ชัดเจน 4 ประเด็นหลัก กำกับ-ดูแล-แก้ไข-ควบคุม
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS เปิดเผยว่า กรณีการยกร่าง พ.ร.บ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน และให้มีหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่มากำกับดูแลโดยเฉพาะ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากการคิดดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไป และดูแลให้การให้บริการทางการเงินมีคุณภาพ และเป็นธรรมแก่ประชาชนนั้น แนวคิดดังกล่าวได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการทุกราย ที่ผ่านมา มีข้อร้องเรียนจากทางการให้ผู้ประกอบการสินเชื่อห้องแถว ซึ่งมีไม่น้อยกว่า 500 รายทั่วประเทศ มีสาขารวมกันไม่น้อยกว่า 5,000 สาขา และมีฐานลูกค้าที่มาใช้บริการไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน โดยมีวงเงินหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท
โดยมีผู้ประกอบการบางแห่งได้คิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสูงเกินไป และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทางราชการต้องเข้ามาดูแล โดยการให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อทั้งจากกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์, สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ, สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขในการกู้ยืม ตั้งแต่ 28-36%
อย่างไรก็ตาม เมื่อทางราชการได้เปิดให้มีการขอจดทะเบียนสินเชื่อประเภทต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว แต่เงื่อนไขต่าง ๆ ที่ทางการกำหนดก็ยังไม่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการอีกจำนวนมาก รวมทั้งยังไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชนที่ต้องการใช้เงิน เช่น ห้ามผู้ประกอบการทำธุรกิจข้ามจังหวัด, ห้ามเรียกหลักประกันจากลูกค้า, ห้ามระดมทุนจากมหาชน, ห้ามใช้รถจักรยานยนต์, รถยนต์, รถเพื่อการเกษตรเป็นหลักประกัน, วงเงินที่กำหนดให้ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน, การเรียกดอกเบี้ย และค่าบริการไม่ได้แยกระหว่างลูกค้าที่มีประวัติการชำระดี และลูกค้าค้างชำระ แต่คิดแบบเหมารวม
ดังนั้น มาตรการหรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทางราชการประกาศออกมา จึงไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชน ดังนั้น จึงมีสินเชื่อห้องแถวอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังคงประกอบธุรกิจให้กู้ยืมแก่ประชาชน โดยผู้ที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าว มีทั้งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทที่เป็นลูกของธนาคารพาณิชย์ โดยคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมน้อยกว่า หรือเท่ากับที่ทางราชการกำหนด คือ ระหว่าง 23-36%
เมื่อความต้องการของชาวบ้านที่อยากได้สินเชื่อ กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากนโยบายและเครื่องมือของรัฐบาลที่ได้มา จึงทำให้ผู้ประกอบการเหล่านั้น ทำธุรกิจได้โดยไม่มีใบอนุญาต ดังนั้น การที่รัฐบาลมีความคิดที่จะเข้ามากำกับดูแลธุรกิจสินเชื่อนอนแบงก์ทั้งที่มีใบอนุญาตอยู่แล้ว และที่ยังไม่มีใบอนุญาตเหล่านี้ ให้เข้าสู่ระบบ โดยการให้บริการที่ไม่เอาเปรียบลูกค้า จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องและตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง อีกทั้งผู้ประกอบการเองก็อยากให้มีใครมากำกับดูแล จะได้ปฏิบัติเหมือนกันทั่วประเทศ
สิ่งที่ทางการสามารถทำได้ นอกจากกำกับดูแล แล้วควรจะเพิ่มบทบาทอย่างน้อย 4 เรื่อง คือ กำกับ ทางการควรเข้ามากำหนดกฎเกณฑ์กติกาให้ชัดเจน, ดูแล เมื่อกำหนดกฎเกณฑ์และเงื่อนไขทั้งดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม,วงเงินสินเชื่อ,หลักประกันที่เป็นธรรมให้กับผู้บริโภคแล้ว ทางการควรมีหน้าที่ดูแลให้ผู้ประกอบการทุกรายปฏิบัติอยู่ภายใต้กรอบเดียวกัน, แก้ไข เงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ที่ทางการกำกับ อาจจะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ทางการก็ควรจะเข้ามาแก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามสภาพที่เป็นจริง เช่น การกำกับว่าให้คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 15% โดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือค่าติดตาม ในทางปฏิบัติ ทำได้หรือไม่ และถ้าทำไม่ได้ ก็ควรจะมากำหนดอัตราที่เหมาะสม และให้ทุกคนถือปฏิบัติเหมือนกัน และควบคุม หลังจากได้มีการแก้ไขกฎเกณฑ์ต่าง ๆ แล้ว ก็ควรจะได้เข้ามาควบคุมดูแลให้ทุกฝ่ายปฏิบัติเหมือนกัน เพื่อประโยชน์กับผู้บริโภค
ในเมื่อทางการมีดำริว่าจะออก พ.ร.บ.เข้ามากำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน และคุ้มครองผู้บริโภคแล้ว ก็ควรจะทำให้ครอบคลุมและครบถ้วนตามที่กล่าวมา ประโยชน์ที่ได้จะได้ตกถึงมือประชาชน ผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน และประชาชนจะได้ไม่ถูกโขกดอกเบี้ยตามยถากรรม ทั้งจากผู้ที่มีใบอนุญาต และยังไม่มีใบอนุญาตอีกต่อไป