xs
xsm
sm
md
lg

เอสจีเอฟ แคปปิตอล เผยยอดสินเชื่อ Q2 โต 968.9%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอสจีเอฟ แคปปิตอล เผยยอดอนุมัติสินเชื่อรายย่อยไตรมาส 2 โต 968.9% เติบโตตามการขยายสาขา ครึ่งแรกของปีทำได้แล้ว 40 สาขา มีลุ้นครบ 60 สาขา เร็วกว่าเป้าหมายที่คาดว่าทำได้สิ้นปีนี้ ประเมินแนวโน้มธุรกิจจากนี้มีทิศทางสดใส คงเป้าสินเชื่อรวมปีนี้ 2 พันล้านบาท ส่วนผลงานไตรมาส 2/60 ที่แจ้งยอดขาดทุน เพราะตั้งสำรองหนี้สินเชื่อรายใหญ่รายหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ 109 ล้านบาท แจงเป็นหนี้เก่าติดมาตั้งแต่อดีต “ดร.วิวัฒน์” ลั่นไม่สะเทือนธุรกิจ เหตุมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง เงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

ดร. วิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสจีเอฟ แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) หรือ SGF เปิดเผยว่า พอร์ตสินเชื่อรวมภายในสิ้นปี 2560 น่าจะได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 2 พันล้านบาท เนื่องจากภาพรวมธุรกิจ โดยเฉพาะการขยายฐานของสินเชื่อรายย่อย มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามทิศทางการขยายสาขา และเพิ่มระบบตัวแทน
 
โดยไตรมาส 2/60 มีพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อรายย่อยคงค้าง (เช่าซื้อ) มีจำนวน 202.78 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าที่ทำได้ 18.97 ล้านบาท หรือโต 968.9% ส่วนพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อรายใหญ่คงค้างมีจำนวน 759.22 ล้านบาท ลดลงจากการตั้งสำรอง และนโยบายการเน้นสินเชื่อรายย่อยของบริษัท ขณะที่ช่วงครึ่งแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีการขยายสาขาแล้วจำนวนทั้งสิ้น 40 สาขา และมีโอกาสขยายสาขาได้ครบ 60 สาขาเร็วกว่าเป้าหมายเดิมที่กำหนดทำได้ภายในสิ้นปี 2560

“ยอดปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยเติบโตดี และมีแนวโน้มที่ดี โดยเรายังทำเพียงสินเชื่อ (เช่าซื้อ) จำนำทะเบียนรถยนต์ ยังไม่ได้เริ่มทะเบียนมอเตอร์ไซค์ และบ้านและที่ดินรายย่อย เชื่อว่า SGF จะสามารถเดินหน้ารุกในการขยายทีมงานด้านสินเชื่อ และสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการที่มีอยู่สูงโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ปัจจุบัน เรามีการขยายสาขาจาก 2 สาขาเป็น 40 สาขา มีการเพิ่มจำนวนบุคลากร ส่วนกลางทั้ง Front และ Back office จาก 26 คน เป็น 256 คน โดยเป็นทีมงานที่มีประสบการณ์ในธุรกิจ”

ดร.วิวัฒน์ กล่าวต่อถึงผลประกอบการไตรมาส 2/60 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 34.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 27.42 ล้านบาท หรือโต 27.4% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ส่วนผลกำไรในไตรมาส 2/60 ที่ขาดทุนสุทธิ จำนวน 92.14 ล้านบาทนั้น ประเด็นหลักไม่ได้มาจากการดำเนินงาน แต่เป็นผลมาจากการตั้งสำรองลูกหนี้ธุรกิจสินเชื่อรายใหญ่รายหนึ่ง จำนวน 109 ล้านบาท สืบเนื่องจากศาลชั้นต้น (ศาลแพ่ง) ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ให้เพิกถอนการจดจำนองที่ดิน ซึ่งเป็นหลักประกันหนี้ของลูกหนี้กับบริษัท

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลมีคำพิพากษาดังกล่าว แม้จะเป็นเพียงศาลชั้นต้น และผลออกมาแตกต่างจากความเห็นของที่ปรึกษาทางกฎหมาย แต่เพื่อให้นโยบายบัญชียึดหลักความระมัดระวังบริษัท จึงพิจารณาให้มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะศูนย์ในหนี้ดังกล่าวเต็มจำนวนสำหรับเงินให้กู้ยืมหลังหักมูลค่าหลักประกัน และเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 บริษัทได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นอุทธรณ์ต่อศาลแพ่งไว้แล้ว และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทยื่นอุทธรณ์ได้จนถึงวันที่ 4 กันยายน บริษัทได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นอุทธรณ์ต่อศาลแพ่งไว้แล้ว และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทยื่นอุทธรณ์ได้จนถึงวันที่ 4 กันยายน 2560 บริษัทมีนโยบายที่จะสู้คดีเพื่อให้การจดจำนองที่ดินเป็นหลักประกันดังกล่าวมีผลกลับมาเช่นเดิม แม้ว่าการจดจำนองจะถูกเพิกถอน หรือไม่ลูกหนี้รายดังกล่าวยังคงเป็นลูกหนี้ตามกฎหมายของบริษัทอยู่เต็มจำนวน

“เรื่องนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของ SGF แต่อย่างใด เนื่องจากในปัจจุบันดำเนินธุรกิจโดยเงินทุนของบริษัทเอง และขณะนี้มีเงินพร้อมปล่อยสินเชื่อกว่า 300 ล้านบาท ที่สำคัญ เรายังไม่ได้กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน อีกทั้งไม่มีการออกตั๋วบีอี ทำให้ไม่มีภาระที่ต้องชำระ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดสภาพคล่องทางการเงินแต่อย่างใด” ดร.วิวัฒน์ กล่าว

หากหักผลการตั้งสำรองเป็นกรณีพิเศษนี้ออกไป จะเห็นได้ว่า ธุรกิจเราในภาพรวมที่มีการเพิ่มธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในเดือนมีนาคม 2560 เริ่ม Break Even แล้ว แม้จะมีการเพิ่มบุคลากรมาประมาณ 10 เท่าในช่วง Q1-Q2 ถือว่าพอใจที่เรา Break even ได้เร็ว ต่อไปคาดว่าจะต้องเพิ่มคนอีกไม่มากแล้ว ไตรมาสต่อ ๆ ไปก็จะเดินหน้าบุ๊กรายได้จากปล่อยสินเชื่อรายย่อยอย่างเต็มที่
กำลังโหลดความคิดเห็น