เมืองไทย ลิสซิ่ง ถูกดึงเข้าคำนวณดัชนี SET50 ในรอบครึ่งหลังของปี 60 (1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2560) บิ๊กบอส “ชูชาติ เพ็ชรอำไพ” มั่นใจไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง ปักธงรายได้-กำไร ปี 60 ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS ผู้นำตลาดสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ และนาโนไฟแนนซ์ของเมืองไทย กล่าวถึงกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่จะใช้คำนวณดัชนี SET50 ในช่วงครึ่งปีหลัง (1 ก.ค.-31 ธ.ค.) ของปี 2560 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อธุรกิจของบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุน และมีสภาพคล่องในการซื้อขายสม่ำเสมอ
“ในฐานะผู้บริหารต้องขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ และให้ความสนใจลงทุนในหุ้น MTLS ผม และทีมงานของบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้เตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 200 แห่ง รวมเป็น 2,200 สาขา โดยเน้นภาคอีสาน และภาคใต้ เพื่อขยายฐานลูกค้า และคาดว่ายอดปล่อยสินเชื่อใหม่ในปีนี้จะเติบโต 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ จำนวน 50,000 ล้านบาท ผลักดันรายได้และกำไรของ MTLS ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และมีเป้าหมายคุมสัดส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ไม่เกิน 1.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1% ของสินเชื่อรวม” นายชูชาติ กล่าวในที่สุด
ทั้งนี้ ภายหลังจาก MTLS เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ปลายปี 2557 ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผลักดันให้รายได้และกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กบผู้ถือหุ้น โดยในปี 2557 มีกำไรสุทธิ 544 ล้านบาท ปี 2558 กำไรสุทธิ 825 ล้านบาท ปี 2559 กำไรสุทธิ 1,464 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 1/60 มีกำไรสุทธิ 536 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิ 280 ล้านบาท
สำหรับรายชื่อหลักทรัพย์เข้าใหม่สำหรับดัชนี SET50 จำนวน 7 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย บมจ. เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC), บมจ. บ้านปู เพาเวอร์ (BPP), บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA), บมจ. เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS), บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH), บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) และ บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) โดยหลักทรัพย์ทั้งหมดที่อยู่ในดัชนี SET50 มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมประมาณ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 65% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของหลักทรัพย์ทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นเดือน พ.ค. 2560