ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินหลักแก่บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) มาตลอดทุกโครงการกว่า 6 ปีที่ผ่านมา ประกาศความพร้อมสนับสนุนแผนลงทุนของบริษัท มั่นใจพื้นฐาน EA แข็งแกร่ง โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ EA ในปี 2560 สูงถึงกว่า 6,200 ล้านบาท หลัก ๆ มาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตรวม 404 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าของบริษัทสามารถทำผลงานได้สูงกว่าที่ธนาคารประมาณการไว้ และในปีนี้ คาดว่าบริษัทน่าจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานลมเพิ่มขึ้นอีก 260 เมกะวัตต์จากปีก่อน ซึ่งหากดูจากแผนการลงทุนปี 2560-2562 ของบริษัท มูลค่ารวมประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท ธนาคารจึงมีความพร้อมที่จะเข้ายื่นข้อเสนอทางการเงินให้กับบริษัทเพิ่มได้
สำหรับโครงการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลม ขนาด 260 เมกะวัตต์ หรือโครงการหนุมาน ธนาคารได้ติดตามความคืบหน้า และทราบว่าเป็นไปตามแผนงานของบริษัททุกประการ โดยจะเริ่มติดตั้งเสากังหันลมส่วนแรกในเดือน มี.ค. นี้ ธนาคารทราบว่า บริษัทได้รับเครดิตจากซัปพลายเออร์กังหันลมให้ชำระเงินในเดือน มี.ค. 2562 ธนาคารจึงยังมีเวลาในการหารือกันในรายละเอียด และจัดทำข้อเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการทำโครงการในอนาคตทั้งหมดของบริษัทด้วย
นอกจากนี้ ในปีที่แล้ว ธนาคารได้จัดโครงสร้างสัญญาเงินกู้มูลค่ารวมประมาณ 18,000 ล้านบาท เป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2559 ที่ได้เคยสนับสนุนการออกหุ้นกู้ไป ธนาคารเห็นถึงแผนการเติบโตของ EA และเมื่อทำการวิเคราะห์แล้ว เห็นว่าควรเข้าไปสนับสนุน เพราะเชื่อมั่นในแผนการเติบโตในระยะยาว จึงได้ทำการเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจากลอยตัวเป็นคงที่ พร้อมกับลดอัตราดอกเบี้ยลง ช่วยให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลงได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังได้เปลี่ยนเงื่อนไขการชำระคืนเงินต้น และการกันเงินสำรองในโครงการ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถนำกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปีละไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท มาใช้ลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ได้อย่างคล่องตัว และลดความจำเป็นในการใช้เงินกู้ลง
นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Corporate Banking กล่าวว่า เรายึดถือหลักการให้บริการว่า เราเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง EA เพราะเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของคณะผู้บริหารของบริษัท และการเติบโตของบริษัทที่สามารถดำเนินได้ตามแผนที่วางไว้มาโดยตลอด มีการใส่ใจและวางแผนทำงานที่มีรายละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะโครงการแบตเตอรีในอนาคต ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ทางบริษัทได้ทำการศึกษาลงลึกในรายละเอียดมาก่อนหน้าเป็นเวลามากกว่า 3 ปี โดยมีความเข้าใจถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีแบตเตอรี และมองเกมธุรกิจ รวมถึงประเมินความเสี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรอบคอบ มีการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า และได้พูดคุยกับธนาคารมานานนับปีแล้ว ทราบว่า ปัจจุบัน บริษัทได้ทำการสั่งซื้อเครื่องจักรที่จะเตรียมการผลิตในเฟสแรกแล้ว คาดว่าน่าจะสร้างเฟสแรกเสร็จได้ตามแผนในไตรมาสที่ 2 ปีหน้า ธนาคารกำลังศึกษาและมีความพร้อมในการให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับโครงการแบตเตอรีที่มีมูลค่า 1 แสนล้านบาทต่อไปด้วย ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ และจะส่งผลในเชิงบวกต่อการเติบโตของ GDP ของประเทศด้วย