สหมิตรถังแก๊ส ตั้งเป้ายอดขายปี 2561 โต 15-20% หลังประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมถังแก๊สยังสดใส โดยเฉพาะดีมานด์ในตลาดต่างประเทศยังมีอีกมาก เปิดแผนอยู่ระหว่างการศึกษาจัดตั้งโรงงานแห่งใหม่ในต่างแดน รุกตลาดนอกต่อเนื่องในกลุ่มเอเชียใต้และแอฟริกา พร้อมเผยผลงานปี 2560 โกยยอดขาย 4,326.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.7% และมีกำไร 531.75 ลดลงเล็กน้อย 1.7% จากปีก่อน จากต้นทุนเหล็กที่สูงขึ้นและการแข่งขันด้านราคา ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลอีก 0.35 บาท/หุ้น ทั้งปีปันผลรวม 0.60 บาท/หุ้น
นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในปี 2561 คาดว่ายอดขายจะเติบโต 15-20% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งปริมาณและมูลค่าตามความต้องการใช้ถังก๊าซที่เติบโตในภูมิภาคเอเชียใต้ และแอฟริกา ประกอบกับแนวโน้มราคาเหล็กที่คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัวไม่ผันผวน โดยวางแผนเตรียมงบลงทุนใหม่ เพิ่มกำลังการผลิตถังก๊าซ LPG ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สำหรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้น เพื่อรองรับตลาดที่ขยายตัวมาก ปัจจุบัน บริษัทส่งออกถังก๊าซในสัดส่วน 94% ไปยังทุกทวีปกว่า 100 ประเทศ โดยมีตลาดหลักในทวีปเอเชีย และแอฟริกา ขณะที่มีการจำหน่ายถังก๊าซในประเทศราว 4% มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศราว 50 - 60%
สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2561 บริษัทฯ ยังเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นหลัก เนื่องจากยังมีโอกาสและช่องทางการเติบโตอีกมาก จากความต้องการใช้ถังแก๊ส LPG ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในตลาดเอเชีย และแอฟริกา โดยเฉพาะบางประเทศในแถบเอเชียใต้ มีการเปลี่ยนการใช้พลังงานเชื่อเพลิงเป็น LPG และตามความต้องการที่สูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้น ขณะที่ SMPC ยังคงมีการขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่สูงขึ้นดังกล่าว โดยในปี 2561 บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 10 ล้านใบต่อปี เพิ่มจากปี 2560 ที่มีกำลังการผลิต 8.2 ล้านใบต่อปี โดยโรงงานเดิมในประเทศยังสามารถขยายกำลังการผลิตใหม่ได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาแผนการขยายโรงงานใหม่ไปยังต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันและรองรับการขยายตัวของธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตไปได้ดี
“ประเมินว่าปริมาณการขายเฉลี่ยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จะยังคงเติบโตในระดับเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 15% ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการถังแก๊สในภูมิภาคเอเชีย และแอฟริกา ที่คาดว่ายังเติบโตสูง ซึ่งคาดว่าปี 2561 ยอดขายของบริษัทฯ จะยังเติบโตต่อ 15-20% จากการที่มีมูลค่างานคงค้างในมือสะสม และทิศทางตลาดต่างประเทศยังมีโอกาสประมูลงานเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลาดต่างประเทศเป็นช่องทางจำหน่ายหลักที่สำคัญในการเพิ่มยอดขายและกำไรสุทธิในอนาคต” นายสุรศักดิ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ งวดปี 2560 บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 4,326.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มียอดขาย 3,469 ล้านบาท โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 857.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.7% โดยสัดส่วนการขายส่วนใหญ่อยู่ในแถบเอเชีย และแอฟริกา ส่วนกำไรสุทธิงวดปี 2560 อยู่ที่ 531.75 ล้านบาท จากงวดปี 2559 อยู่ที่ 541.14 ล้านบาท ลดลง 9.39 ล้านบาท หรือลดลง 1.7% สาเหตุที่กำไรลดลงเล็กน้อย เนื่องจากอัตราการทำกำไรลดลงจากต้นทุนเหล็กที่สูงขึ้น และจากการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงขึ้นในบางประเทศ และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2560 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวด 1 ม.ค.-30 มิ.ย. 2560 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท โดยยังคงเหลือเงินปันผลสำหรับงวด 1 ก.ค.-31 ธ.ค. 2560 ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาทต่อหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท หรือคิดเป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 186.20 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) 4 เมษายน 2561 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2561 หากผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561