ฝาจีบงวดสิ้นปี 60 มีกำไรสุทธิ 240.46 ล้านบาท ลดลงจากงวดนี้ปีก่อนที่ทำไว้ 381 ล้านบาท หรือกำไรลดลง 140 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 36.9 เนื่องจากรายได้จาการขายต่ำลง ผลจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศซบเซา และการจําหน่ายสินค้าในกลุ่มที่มีราคาสูงมีสัดส่วนลดลง
นายพันเทพ สุภาไชยกิจ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ฝาจีบ จำกัด (มหาชน) หรือ CSC แจ้งงบงวดไตรมาส 4 ปี 60 พบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 240.46 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 381 ล้านบาท หรือกำไรลดลง 140 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 36.9 และมีกําไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานลดลงจากปี 2559 จํานวนเงิน 2.70 บาทต่อหุ้น ขณะที่บริษัทฯ มีผลกําไรสุทธิตามวิธีส่วนได้เสียสําหรับปี 2560 เป็นจํานวนเงิน 249 ล้านบาท หรือคิดเป็นกําไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 4.80 บาท ลดลงจากปี 2559 จํานวนเงิน 123 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 32.9 และมีกําไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานลดลงจากปี 2559 จํานวนเงิน 2.36 บาทต่อหุ้น
โดยในไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการพิมพ์แผ่นสําหรับปี 2560 รวมเป็นเงิน
2,666 ล้านบาท ลดลงจากปี2559 จํานวน 218 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 7.6 เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศซบเซา และการจําหน่ายสินค้าในกลุ่มที่มีราคาสูงมีสัดส่วนทีลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อน
ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้อื่นสําหรับปี 2560 เป็นเงิน 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จํานวน 21 ล้านบาท หรือเพิมขึ้นร้อยละ 16.7 เป็นผลมาจากยอดรายได้จากการขายเศษวัสดุจากการผลิตมียอดสูงขึ้นจากราคาขายเศษวัสดุที่ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามภาวะราคาตลาดโลก รวมถึงรายได้จากการเรียกชดเชยมียอดสูงขึ้นจากปีก่อน มาจากการเรียกชดเชยวัตถุดิบที่มีไม่ได้คุณภาพจากผู้ขาย และการเรียกชดเชยสําหรับยอดสินค้าที่มีไม่มีการเรียกส่งมอบจากลูกค้าเป็นเวลานาน นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกําไรจากการขายเงินลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีต้นทุนขายรวมสําหรับปี 2560 เป็นจํานวนเงิน 2,271 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนต่อยอดขายร้อยละ 85.2 เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ร้อยละ 5.2 สาเหตุหลักเป็นผลมาจากต้นทุนราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งเป็นไปตามภาวะราคาตลาดโลก นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายการผลิตสูงขึ้นจากปีก่อนมาจากค่าแรงเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบํารุงเครื่องจักรเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการเลื่อนแผนการซ่อมบํารุงมาทําในปีนี้ รวมถึงการสํารองตั้งค่าเผื่อการลดลงของมูลค่าสินค้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนนโยบายจากการวิเคราะห์อายุสินค้าเคลื่อนไหวช้าเป็นการวิเคราะห์วงจรอายุของสินค้า และสภาพเศรษฐกิจในการขายสินค้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีกําไรขั้นต้นสําหรับปี 2560 เป็นจํานวนเงิน 395 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนต่อยอดขายร้อยละ 14.8 ลดลงจากปี 2559 เป็นจํานวนเงิน 183 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 31.7 เนื่องมาจากยอดขายลดลง ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน และสัดส่วนการขายสินค้าในกลุ่มที่มีอัตรากําไรสูงลดลง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้สละสิทธิการซื้อหุ้น E เพิ่มทุนจากบริษัทร่วม ทําให้สัดส่วนเงินลงทุนของบริษัทฯ ในบริษัทร่วมลดลงจากร้อยละ 25.0 เป็นร้อยละ 12.08 บริษัทฯ จึงบันทึกส่วนได้เสียจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจนถึงวันที่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของเงินลงทุน และรับรู้มูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอีกทั้งในงบการเงินเฉพาะกิจการสําหรับปี 2560 บริษัทฯ ได้โอนกลับค่าเผื่อการลดลงของมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วม 8 ล้านบาท และบริษัทฯ มีผลขาดทุนจากมูลค่าตามบัญชีของเงินลงทุน 9 ล้านบาท