นายกฯ แจง ธปท. ออกเกณฑ์เข้มแบงก์ใหญ่ตามหลักสากล ยืนยันสถานะเข้มแข็ง และมั่นคง พร้อมขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับข่าวดังกล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศเรื่อง แนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ และรายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศว่า เป็นการกำหนดความเข้มงวดตามหลักสากลเท่านั้น
ทั้งนี้ ยืนยันว่า ทั้ง 5 ธนาคาร ประกอบด้วยธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มีความเข้มแข็ง และมีความมั่นคงมากนับตั้งแต่ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นต้นมา พร้อมทั้งมีเงินกองทุนกากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ดังนั้น ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับข่าวดังกล่าว เพราะในต่างประเทศก็ได้ปฏิบัติตามตามหลักสากลในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ด้านนายพูลพัฒน์ ศรีเปล่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความเสี่ยง ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า ตามประกาศของ ธปท. ดังกล่าวทำให้ในปี 62 ต้องมีการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นอีก 0.5% กล่าวคือ ในปี 62 ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 5 แห่งตามประกาศต้องมีเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Total Capital Ratio) ขั้นต่ำอยู่ที่ 11.50% ตามเกณฑ์ ธปท.
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน เงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของ KTB (ตามเกณฑ์กลุ่มธุรกิจทางการเงิน) ณ สิ้น มิ.ย. 60 อยู่ที่ 16.27% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนดไว้เช่นกัน
“ธนาคารมีเงินกองทุนตามเกณฑ์บาเซิล 3 มาแล้วตั้งแต่ปี 56 ซึ่งขณะนี้เงินกองทุนของธนาคารสูงกว่าเกณฑ์ ธปท. กำหนดไว้ ขอยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีความกังวลใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องเงินกองทุนในปัจจุบัน สถานะทางการเงินของธนาคารยังมีความแข็งแกร่ง” นายพูลพัฒน์ กล่าว
สำหรับประกาศของ ธปท. เรื่องแนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศนั้น ก่อนหน้านี้ ธปท. ยังได้กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนส่วนเพิ่ม เพื่อรองรับผลขาดทุนในภาวะวิกฤต (Conservation buffer) โดยให้ทยอยดำรงส่วนเงินกองทุนเพิ่มเติมจากอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำอีกปีละ 0.625% ตั้งแต่ 1 ม.ค. 59 จนครบ 2.50% ในวันที่ 1 ม.ค. 62 ซึ่งในปัจจุบัน ธนาคารได้มีการตั้งสำรองตามเกณฑ์ของ ธปท. ครบถ้วน
นายพูลพัฒน์ กล่าวอีกว่า ธนาคารมีความเชื่อมั่นว่า เงินกองทุนตามเกณฑ์ดังกล่าว จะสามารถรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ส่งผลให้สถานะทางการเงินของธนาคารมีความแข็งแกร่ง และสามารถรองรับการขยายธุรกิจได้ในอนาคต
ขณะที่นายชาญศักดิ์ เฟื่องฟู กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพยึดหลักการบริหารฐานะการเงินด้วยความรอบคอบ และระมัดระวัง พร้อมทั้งรักษาสภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต และความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้ธนาคารมีเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน
โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย. 60 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคาร และบริษัทย่อย อยู่ที่ 18.7% และ 16.9% ตามลำดับ ซึ่งครอบคลุมความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ธนาคารจึงมีความแข็งแกร่ง มีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูงกว่ากำหนดตามหลักเกณฑ์ Basel III และเพียงพอที่จะรองรับการดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่ม ตามมาตรการ D-SIBs ดังกล่าวข้างต้น