ผู้จัดการรายวัน 360 - ประธานบอร์ดฯ ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ระบุเศรษฐกิจฐานรากหดตัว เตรียมปรับลดเป้ารายได้-กำไรลงเหลือใกล้เคียงปีก่อนหน้า พร้อมลดงบลงทุนเหลือ 300 ล้านบาทจากเดิมที่ 800 ล้านบาท เน้นปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสินค้าที่มีอยู่เดิมให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น ส่วนแผนซื้อกิจการ หรือ M&A ในประเทศเวียดนาม คาดสรุปความชัดเจนได้ในปี 2561
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SITHAI เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดประมาณการผลประกอบการงวดบัญชีปี 2560 ลง ซึ่งจากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือเติบโต 5% ลดลงเหลือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ที่ 9,300 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจฐานรากในประเทศยังอ่อนแออย่างมาก โดยเฉพาะภาคการเกษตร
“ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในไตรมาสที่ 2/2560 ยังลำบาก เนื่องจากว่า กำลังซื้อของประชาชนลดลง ส่งผลกระทบต่อกลุ่มสินค้าในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนสินค้าอุปโภค บริโภค ให้ปรับลดลงตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในไตรมาสที่ 4/2560 กำลังซื้อของประชาชนจะฟื้นตัวกลับขึ้นมา เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาล และการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งภาครัฐ และเอกชน ต่างก็ออกโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ณ ตอนนี้คาดว่า รายได้ทั้งปีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 9,800 ล้านบาท”
พร้อมกันนี้ SITHAI ยังปรับลดงบประมาณด้านการลงทุนลงเหลือกว่า 300 ล้านบาท จากเดิมตั้งงบฯ ไว้ที่ 870 ล้านบาท ตามลักษณะการบริหารจัดการแบบสมเหตุสมผล โดยงบลงทุนที่ใช้จะเน้นไปในด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสินค้าที่มีอยู่เดิมให้มีคุณภาพสูงขึ้น
“แม้หลายฝ่ายพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจในระดับมหภาคว่าจะมีแนวโน้มที่ดี มีการประเมินจากสถาบันด้านเศรษฐศาสตร์หลายแห่ง มีการปรับตัวขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP (gross domestic product) ที่ดี แต่ในทางกลับกัน ด้านจุลภาคกลับพบว่า เศรษฐกิจในระดับจุลภาคไม่ได้เติบโตสะท้อนมาในทิศทางบวกที่ดีนัก บริษัทจึงได้ปรับลดงบประมาณการลงทุนในปีนี้ลงเหลือเพียง 300 กว่าล้านบาทเท่านั้น”
ขณะเดียวกัน ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายนั้น เนื่องจากด้วยข้อจำกัดด้านการบริโภคภายในประเทศ ทำให้อัตราการเติบโตของการบริโภคสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อยู่ในภาวะคงที่ แต่ในขณะเดียวกัน การอัตราความต้องการของสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์ของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาชนะ จาน ชาม เมลามีน ที่มีความต้องการอย่างมากในยุโรป และอเมริกา ขณะเดียวกัน สัดส่วนการขายในต่างประเทศที่หดตัวลง ได้แก่ กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง สาเหตุเนื่องจากวิกฤตราคาพลังงานน้ำมันที่ราคาต่ำต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2 ปีติดต่อกัน ทำให้อำนาจการซื้อที่มีอยู่เดิมลดน้อยลงตามไปด้วย ขณะที่ในส่วนของความต้องการบรรจุภัณฑ์กลุ่มพลาสติกที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่ม และอาหาร ก็มีการปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน
“มองว่า แนวโน้มกำลังซื้อของประชาชนในระดับฐานรากจะทยอยฟื้นตัวขึ้นมาในปี 2561 เนื่องจากรัฐบาลในมีการอนุมัติโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งในส่วนของการเดินหน้านโยบายโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทำให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้ไปยังภูมิภาคท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น”
ในส่วนของการเข้าซื้อกิจการ หรือ M&A นั้น ขณะนี้มีการเจรจาอยู่ 2 ราย ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่บริษัทฯ ประกอบธุรกิจประเภทนี้อยู่ โดย 1 รายเป็นบริษัทผู้ประกอบการในประเทศไทย แต่ได้มีการลงเลิกการเจรจาเข้าซื้อกิจการไปแล้ว ขณะที่ในอีก 1 รายนั้น เป็นบริษัทผู้ประกอบการในประเทศเวียดนาม ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการเจรจา และข้อตกลงเงื่อนใขต่าง ๆ โดยคาดว่าจะสามารถสรุปรายละเอียดได้ภายในต้นปี 2561 โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนของงานประชารัฐที่มีการร่วมมือระหว่างรัฐบาล และบริษัทจดทะเบียนภาคเอกชนนั้น SITHAI ได้ประสานงานร่วมกันในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ StartUp ตลอดจนนักลงทุนที่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจ
“ขอแนะนำว่า นักลงทุนรุ่นใหม่มีโอกาสอย่างมากในการแสวงหาช่องทาง และการลงทุนในรูปแบบใหม่ ๆ ตลอดจนถึงการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยเข้ามาเป็นส่วนช่วยสนันสนุนที่สำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของนักธุรกิจรุ่นเก่าในการทำงานร่วมกันเพื่อเสริมจุดแข็ง และกำจัดจุดอ่อนที่มีอยู่ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติในอนาคต”