xs
xsm
sm
md
lg

บล. เออีซี คาดดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 3 แตะ 1,641 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บล. เออีซี ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3/60 ลุ้นแตะ 1,641 จุด แม้เจอแรงกดดันจากเฟดขึ้นดอกเบี้ย และยุโรปส่งสัญญาณลดปริมาณ QE ต่อเนื่อง บวกกับอัตราการขยายตัวของกำไรในตลาดหุ้นไทยน้อยลงเมื่อเทียบตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ส่งผลต่างชาติชะลอลงทุน แนะกลยุทธ์การลงทุนเน้นการเก็งกำไรหุ้นผลงานเด่น ชู BCH, MONO, PLANB, BR, TPCH, TSR, HARN

นายรณกฤต สารินวงศ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3/2560 มีโอกาสที่จะปรับไปแตะระดับ 1,641 จุดได้ แม้ว่าจะยังเจอแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็นครั้งที่สองในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับ 1.25% โดยยังมีเป้าหมายในการขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้จะอยู่ที่ 1.50% แม้ว่าทุกอย่างจะมีแผนกำหนดการไว้แล้ว แต่การขึ้นดอกเบี้ยจะกดดันเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในการกระจายการลงทุนมายังภูมิภาคได้

ทั้งนี้ Fed ได้กำหนดให้มีการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปจนถึงปี 2561 มีเป้าหมาย 2.75% ซึ่งจะให้อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ อาจสูงกว่าไทย และมีผลต่อการลดปริมาณเงินลงทุนในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะประเทศที่มีการขยายตัวไม่สูง และสิ่งที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ก็คือ การลดปริมาณ QE ของทั้ง Fed และ ECB จะกดดันตลาดหุ้นภูมิภาคยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางยุโรปจะเริ่มประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งการลดปริมาณ QE

นอกจากนี้ เมื่อประเมินโดยเปรียบเทียบตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยใช้อัตราการขยายตัวของกำไรต่อหุ้นทั้งของปี 2560-2561 พบว่า ตลาดหุ้นไทยมีอัตราการขยายตัวที่ระดับ 14.8% อยู่ในลำดับที่ 9 จาก 12 อันดับ ซึ่งถือว่าการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยต่ำกว่าส่วนใหญ่ในภูมิภาค และเมื่อรวมอัตราตอบแทนเงินปันผล 2 ปีเข้าด้วยกัน ตลาดหุ้นไทยจะมีผลตอบแทนรวมที่ 6.15% อยู่ในลำดับ 7 จาก 12 อันดับ ถือว่ามีผลตอบแทนจูงใจปานกลาง ซึ่งจะมีผลต่อ Assets allocation ของนักลงทุนต่างประเทศให้กระจายน้ำหนักการลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยระดับปานกลาง จึงทำให้คาดว่า ระยะนี้ไปจนถึงสิ้นปีตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญภาวะซบเซา

ดังนั้น จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนเน้นการเก็งกำไร จนกระทั่งตลาดให้ผลตอบแทนสูงกว่านี้ จึงค่อยเริ่มเข้าลงทุนจริงจังครั้งใหม่ โดยแนะนำหุ้นเด่นในไตรมาส 3/60 อาทิ หุ้น BCH ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท ซึ่งเป็นหุ้นโรงพยาบาลเอกชนที่มีผู้ประกันตนราว 7.8 แสนคน สูงสุดในไทย (มีสัดส่วนรายได้ SC 35%) และยังรับผู้ป่วยโรคร้ายแรงที่ส่งต่อจากสถานพยาบาลอื่นได้ในฐานะ Supra Contractor จึงเกิดการประหยัด หลังบอร์ดประกันสังคมประกาศปรับขึ้นค่าเหมาจ่ายรายหัว และโรคที่มีภาระเสี่ยงสูง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค. 60 หนุนให้ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง 60 คาดมาร์จินจะดีขึ้น เมื่อบวกกับตั้งแต่ มิ.ย.-ก.ย. จะมี รพ. ในเครือ 4 แห่งที่รีโนเวตเสร็จ ทยอยเปิดบริการ และ WMP คาดมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้นตามลำดับ
 
จึงคาดปี 2560-2561 BCH จะมีกำไรสุทธิโตเฉลี่ยปีละ 18.2% สร้างสถิติกำไรสูงสุดต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 17.6% จากมูลค่าพื้นฐาน และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปีนี้หุ้นละ 0.21 คิดเป็น Div. Yield 1.5% รองลงมา หุ้น MONO ผู้สร้างทางเลือกใหม่สำหรับฟรีทีวี MONO ยังคงโดดเด่นด้วยธุรกิจดิจิตอลทีวีช่อง MONO29 ที่มี Content แข็งแกร่ง (ภาพยนตร์ และซีรีส์ดังจากพันธมิตรต่างประเทศ) ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนจาก Avg. TV Rating เดือน พ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 3.3% หนุนแนวโน้มค่าโฆษณาของช่อง MONO29 มีโอกาสปรับสูงขึ้นได้อีก จากสิ้นไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 25,000 บาทต่อนาที เนื่องจากปัจจุบัน CPRP ของช่องยังอยู่ในระดับต่ำถ้าเทียบกับคู่แข่งที่มี Rating ใกล้เคียงกัน และทำให้คาด MONO จะเริ่มพลิกกลับมามีกำไรสุทธิราว 327 ล้านบาทในปี 60 และโตต่อ 34.9% จากปีก่อน ในปี 61 ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 13.0% จึงแนะนำ “ซื้อ”

หุ้น PLANB ผู้ให้บริการสื่อนอกบ้าน (OOH) ครบวงจร ที่มีพื้นที่โฆษณาหลากหลาย และครอบคลุมพื้นที่กว่า 300 แห่งทั่วประเทศ โดยปี 60 คาดกำไรโตเด่น 63.9% สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณาในช่วง 5 เดือนที่สดใส บวกกับแผนเพิ่ม Media Capacity ในกลุ่มประเทศ AEC ที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ได้เซ็น MOU ร่วมทุนกับพันธมิตร จัดตั้งบริษัทให้บริการสื่อนอกบ้านในลาว หนุนรายได้จาก ตปท. โตสดใส ขณะที่ราคาหุ้นมี Upside 18.4% จากมูลค่าพื้นฐาน หุ้น BR ผู้นำในธุรกิจผลิตอาหารจากเนื้อเป็ดแบบครบวงจร โดยดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และผลิตอาหารจากเนื้อเป็ดที่มีคุณภาพในระดับพรีเมียม

โดยคาดปี 60 กำไรสุทธิโต 124.3% จากการขยายกำลังการผลิตในเนเธอร์แลนด์ เพิ่มเป็น 9 ล้านตัวต่อปี จากเดิม 5 ล้านตัวต่อปี เพราะการรวม Supply Chain และเครื่องจักรกับ VSE ที่เลิกกิจการในช่วงไตรมาส 4/59 และแผนเพิ่มสินค้าใหม่ Ready to Eat (ธุรกิจมาร์จินสูง) คาดเริ่มผลิตและจำหน่าย ช่วงครึ่งหลังปี 60 มี Upside 16.8% จากราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus ที่ 8.0 บาท และคาด Div. Yield ปีนี้ 3.8%

หุ้น TPCH ผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากชีวมวลในภาคใต้ มีกำลังผลิตติดตั้งทั้งหมด 141 MW และเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว จำนวน 4 โรง กำลังผลิตรวม 39.6 MW โดยปี 2560 คาดกำไรสุทธิโต 89.1% ด้วยแรงหนุนจากการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้ง 4 โรง บวกกับการ COD โรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มอีก 2 โรงในช่วง 2H60 คือ PGP (9.9 MW) และ SGP (9.9 MW) ทำให้ในปี 2560 บริษัทมีโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ COD แล้วทั้งสิ้น 6 โรง กำลังผลิตรวม 59.4 MW อีกทั้งยังมี Upside Risk จากโอกาสในการเข้าร่วมประมูลโครงการ SPP Hybrid Firm (300 MW) และ VSPP Semi Firm (289 MW) ซึ่งต้องติดตามความชัดเจนจากทาง กกพ. ในเรื่องการเปิดประมูลในช่วง 2H60 ปัจจุบันมี Upside 23.9% จากราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus ที่ 22.80 บาท และคาด Div. Yield ปีนี้ 1.23%

หุ้น TSR จัดเป็นผู้นำในการขายเครื่องกรองน้ำที่แตกไลน์ธุรกิจมาขายเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย ทั้งนี้ ด้วยแผนเสริมทัพด้วยบุคลากรด้านการขาย ทั้งพนักงานขายทางโทรศัพท์ ตัวแทนขาย และสาขา (เพิ่มอีก 5 สาขาเป็น 25 สาขา และ 3 ศูนย์บริการ) บวกกับค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญและหนี้สูญที่เริ่มเข้าสู่ระดับปกติ หลังบริษัทประสบความสำเร็จในการคุมเข้มนโยบายขายเชื่อ อีกทั้งยังมีแผนเพิ่มช่องทางขายผ่านสื่อออนไลน์ภายใต้โครงการผ่อนสบาย เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าผู้บริโภคที่ไม่มีบัตรเครดิต พร้อมกับแผนรุกตลาดประเทศลาว ด้วยเครื่องกรองน้ำ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
 
จึงทำให้คาด ปี 2560 TSR จะมีกำไรสุทธิ 170 ล้านบาท พลิกกลับมาโตเด่น 111.4% อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 22.3% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2560 ที่ 5.70 บาท (อิง PER 22 เท่า ที่ Fully diluted EPS จากการใช้สิทธิ TSR-W1) และคาดให้ Div. Yield ปีนี้ 2.4% หุ้น HARN ผู้นำและผู้เชี่ยวชาญการให้บริการ Solution ในงานระบบดับเพลิง ระบบทำความเย็น และระบบพิมพ์ดิจิตอล โดยช่วง 4Q59 ได้เข้าทำการซื้อกิจการทั้งหมดของ บจ. ชิลแมทช์ (CM) รวมถึงการเข้าซื้อ บจ. คิว ทู เอส (QIIS) ซึ่งเป็น บ.ย่อยของ CM (ถือ 100%) หนุนให้ปีนี้จะเป็นปีแรกที่รับรู้รายได้และกำไรจากบริษัทย่อยแบบเต็มปี
 
อีกทั้งดีลนี้ยังช่วยสร้างพลังแห่ง Synergy หลังปรับโครงสร้างธุรกิจอีกด้วย คือ เพิ่มโอกาสขยายฐานลูกค้าด้วยการแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลลูกค้าระหว่างกัน และลดค่าใช้จ่ายบางส่วนจากการใช้ทรัพยากรร่วมกัน อีกทั้งบริษัทมีแผนเพิ่มสินค้านวัตกรรมเพื่อกระตุ้นรายได้รวม พร้อมกับมีแผนเจาะตลาด CLM จึงทำให้คาดปี 2560 HARN จะมีกำไรสุทธิ 110 ล้านบาท โตเด่น 171.6% มี Upside 22.6% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2560 ที่ 3.80 บาท (อิง PER 20 เท่า ที่ Fully diluted EPS จากการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อซื้อกิจการ และคาดให้ Div. Yield ปีนี้ 4.6%
กำลังโหลดความคิดเห็น