วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นวันที่่อยู่ในความทรงจำของคนหลาย ๆ คน โดยเฉพาะพนักงานและอดีตพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยเป็นวันแรกของการลอยตัวค่าเงินบาท และวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งนำไปสู่การตกต่ำ ของเศรษฐกิจไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน บริษัท และสถาบันการเงินหลายแห่งต้องปิดตัวลง คนว่างงานเป็นจำนวนมาก และทำให้ความฝันที่ประเทศไทยจะกลายเป็นเสือเศรษฐกิจตัวที่่ห้าของเอเชียต้องพังทลายลง
วิกฤตต้มยำกุ้ง เป็นบทเรียนราคาแพงของทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ยี่สิบปีที่ผ่านมา ต้องนับว่าเราเดินมาไกลมาก แม้จะไม่สามารถรับประกันได้ว่า เศรษฐกิจไทยจะไม่ประสบกับวิกฤตอีก เพราะกระทั่งนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอย่างศาสตราจารย์ โรเบิร์ต ลูคัส ซึ่งเคยประกาศตอนอำลาตำแหน่งประธานสมาคมเศรษฐศาสตร์อเมริกาในปี 2546 ว่า นักเศรษฐศาสตร์ได้เรียนรู้วิธีป้องกันภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงไม่ให้เกิดขึ้นแล้ว ยังหน้าแตกกับการอุบัติขึ้นของวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลกในปี 2551 แต่การเกิดซ้ำของวิกฤตในรูปแบบที่เกิดขึ้นในปี 2540 กับเศรษฐกิจไทย ต้องบอกว่าแทบเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่ไทยจะเปลี่ยนกลับไปตรึงค่าเงินแบบในอดีตอีก
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง ในช่วงกลาง ๆ ปีของทุกปี มักจะมีการแชร์ข้อมูลว่า เศรษฐกิจไทยสุ่มเสี่ยงที่จะกลับไปเป็นแบบปี 2540 อีก โดยบ่อยครั้งเป็นการโยงกับการขาดทุนที่เกิดจากการแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งในยุคของโซเชียลมีเดียที่ข่าวสารกระจายไปได้อย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว อาจทำให้คนหลาย ๆ คนเข้าใจผิดได้ ทั้ง ๆ ที่บริบทในปัจจุบันแทบจะกล่าวได้ว่า เป็นหนังคนละม้วนกับปี 2540
อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่เหมือนกันในสถานการณ์ปัจจุบัน และในปี 2540 คือ มีการดูแลค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยเหมือนกัน และธนาคารแห่งประเทศไทยดูเหมือนจะมีปัญหาทางการเงินที่เกิดจากการแทรกแซงค่าเงินเหมือนกัน แต่ในความเหมือนกันนี้มีความแตกต่างที่สำคัญ ได้แก่
1. ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกัน โดยก่อนการลอยตัวค่าเงินบาท ไทยใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ทำให้ในยามที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไม่สอดคล้องกับค่าเงินที่ตรึงไว้ ตกเป็นเป้านิ่งของการโจมตีค่าเงินได้ง่าย ต่างจากปัจจุบันที่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัวที่การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนส่วนหนึ่งถูกกำหนดโดยกลไกตลาด ทำให้การโจมตีค่าเงินทำได้ยากกว่า
2. ปัญหาในตอนนั้นเป็นปัญหาเงินทุนไหลออก ซึ่งกดดันให้บาทอ่อน ขณะที่ปัจจุบันเป็นปัญหาของเงินทุนไหลเข้า ซึ่งกดดันให้บาทแข็ง วันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ผมยังไม่ได้เป็นพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย แต่รับทุนธนาคารมาแล้ว ค่าเงินบาทที่อ่อนลงอย่างมากทำให้มูลค่าทุนที่ผมผูกพันธ์กับธนาคารแห่งประเทศไทย ในรูปของเงินบาทสูงขึ้นอย่างมาก แต่ในฐานะนักเรียนทุน ผมก็ทำงานชดใช้ทุนไปเรื่อย ๆ ต่างจากบริษัท ห้างร้านต่าง ๆ ที่มีหนี้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ ที่ไม่สามารถนำเงินมาชดใช้มูลค่าหนี้ที่สูงขึ้นได้ ทำให้ต้องผิดนัดชำระหนี้ และส่งผลสั่นสะเทือนสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ทั้งระบบ จนสถาบันการเงินหลายแห่งต้องล้ม หรือแทบจะล้มละลายไปด้วย ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ
3. การแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยในภาวะเงินทุนไหลออก ใช้การขายสินทรัพย์ หรือเงินสำรองระหว่างประเทศ ทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศลดลง ขณะที่การแทรกแซงในภาวะเงินทุนไหลเข้า ใช้การซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ ทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น การลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 เป็นผลจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มองว่า เงินสำรองระหว่างประเทศเหลือไม่พอที่จะขายเพื่อปกป้องค่าเงิน ตามภาษาชาวบ้านที่ว่า หมดหน้าตัก ขณะที่ในปัจจุบัน เงินสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทย (รวมสถานะการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า) มีมากกว่าสองแสนล้านเหรียญสหรัฐ สูงมากกว่ามาตรฐานสากลมาก ไม่ว่าจะวัดในตัวของมันเอง หรือเทียบกับมูลค่าการนำเข้า มูลค่าหนี้ต่างประเทศ หรือขนาดเศรษฐกิจ ดังนั้น ความมั่นคงด้านต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน จึงไม่น่าเป็นห่วง
4. การขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการตีราคาเงินสำรองระหว่างประเทศเป็นเงินบาท ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศที่แปลงเป็นสกุลเงินบาทมีมูลค่าลดลง โดยที่เงินสำรองในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้หายไปไหน ยังมีให้ใช้เป็นจำนวนมาก ในทางกลับกัน การอ่อนค่าของเงินบาทในปี 2540 ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีกำไรจากการตีราคาค่าเงิน แต่เป็นกำไรที่เอามาใช้ไม่ได้ เพราะการดูแลค่าเงินต้องใช้เงินสำรองในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตอนนั้น แทบไม่มีเหลือ
5. ในปี 2540 มีบริษัทที่ต้องปิดกิจการไป เพราะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนทางบัญชี แต่การขาดทุนของธนาคารกลางแบบธนาคารแห่งประเทศไทย ต่างจากการขาดทุนของบริษัท หรือสถาบันการเงินทั่ว ๆ ไป เพราะธนาคารกลางมีความสามารถในการพิมพ์เงินเองได้ ซึ่งความสามารถในการดำเนินกิจการต่อไปเรื่อย ๆ ของธนาคารกลางขึ้นกับความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางมากกว่าสถานะของงบดุล ซึ่งปัจจุบัน ความน่าเชื่อถือของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นจุดแข็งของประเทศที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศมักหยิบยกขึ้นมาเสมอ โดยที่การขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้เป็นประเด็นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ตระหนักว่า การขาดทุนต่อเนื่องถึงจุด ๆ หนึ่ง ก็อาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางได้ เพราะถึงจะพิมพ์เงินเองได้ แต่ถ้าธนาคารกลางสูญเสียความน่าเชื่อถือ เงินที่พิมพ์ออกมาก็ไม่มีค่า และนำไปสู่วิกฤตเงินเฟ้อในที่สุด
6. ในปี 2540 เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยถือว่าง่อนแง่นเป็นอย่างมาก โดยนอกจากเงินสำรองระหว่างประเทศจะร่อยหรอแล้ว ดุลบัญชีเดินสะพัด หรือผลต่างของรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ กับรายจ่ายในการนำเข้าสินค้าและบริการ ยังขาดดุลสูง โดยในปี 2539 ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่าร้อยละ 8 ของขนาดเศรษฐกิจ เทียบกับในปี 2559 ที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ร้อยละ 12 ของขนาดเศรษฐกิจ
7. ท้ายที่สุด หลายจุดอ่อนสำคัญที่นำไปสู่วิกฤตปี 2540 ได้ถูกปิดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินด้านการพึ่งพาหนี้สกุลเงินต่างประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่มีจุดโหว่ และไม่ทันการ ตัวอย่างของระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ดีขึ้น เช่น การมีข้อมูลจีดีพีรายไตรมาสจากเดิมที่เป็นรายปี การจัดตั้งบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติที่ปัจจุบันขยาย รวมถึงลูกหนี้ของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้ผู้บริโภค และผู้ประกอบการมีข้อมูลอุปสงค์ และอุปทานของทั้งตลาด เป็นต้น
เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนตามการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้า และบริการที่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายในประเทศยังไม่เข้าที่นัก โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนที่จากข้อมูลล่าสุดยังคงหดตัว นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำไมคนทั่วไปยังไม่รู้สึกว่า เศรษฐกิจดีขึ้น การแชร์ข้อมูลที่ทำให้คนเข้าใจผิดว่า วิกฤตเศรษฐกิจแบบปี 2540 กำลังจะกลับมา อาจทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย และธุรกิจบางส่วนไม่กล้าลงทุน ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า และไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย