KBANK ยันปัญหาหนี้ EARTH ไม่กระทบสถานะ เผย NPL ยังปกติ แย้มแนวโน้มสินเชื่อ H2/60 โตดีกว่า H1/60
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องสถานะทางการเงินจากกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของ บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) ซึ่งธนาคารให้วงเงินสินเชื่อระยะสั้นแก่บริษัทจำนวนหนึ่ง และมีการเบิกใช้ไปราว 2 พันล้านบาท
“ธนาคารไม่ได้มีความกังวลกับประเด็นดังกล่าว เพราะก่อนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ธนาคารได้นำความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมาคิดคำนวณแล้ว และผลกระทบของคุณภาพหนี้ของธนาคารก็พิจารณาในแง่ของพอร์ตรวม ทำให้ในภาพรวมของคุณภาพหนี้ยังไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” นายพิพิธ กล่าว
รวมทั้งในแง่ของสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ยังคงเป็นตามเป้าหมายที่ต้องการควบคุม NPL ไม่เกิน 3.3-3.4% โดย NPL ในไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 3.31% โดยมองว่า สถานการณ์ของการผิดนัดชำระหนี้เป็นเรื่องปกติของอุตสาหกรรมธนาคาร ปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวกลับมาดีนักอาจส่งผลกระทบต่อลูกค้าบางกลุ่มทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง โดยเฉพาะลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็ก และลูกค้ารายย่อยบางกลุ่ม แต่ทางธนาคารก็ยังคอยดูแล และช่วยเหลือลูกค้า เพื่อทำให้คุณภาพหนี้ไม่ได้ลดลงมาก และเป็นไปตามที่ธนาคารตั้งเป้าไว้
“การผิดนัดชำระหนี้ก็นเป็นเรื่องปกติของวงการแบงก์ ซึ่งตอนนี้ที่มีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้กันมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็คงมาจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี หลาย ๆ โครงการของภาครัฐที่คาดว่า จะออกมาในครึ่งปีแรกก็เลื่อนออกไป ทำให้ไม่มีตัวช่วยกระตุ้น ตอนนี้การให้สินเชื่อก็ต้องดูเป็นราย ๆ ไป และก็อาจจะต้องทำงานร่วมกับหลายแบงก์ในการดูแล รวมถึงลูกค้าก็ต้องทำงานร่วมกับแบงก์มากขึ้น เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นก็สามารถหาทางแก้ได้” นายพิพิธ กล่าว
ส่วนแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อรวมของธนาคารในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเห็นการเติบโตที่สูงกว่าครึ่งปีแรก เพราะการเดินหน้าผลักดันโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะมีการลงทุน และเบิกจ่ายออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้สินเชื่อมากขึ้น โดยในช่วงแรกการเติบโตมาจากสินเชื่อผู้ประกอบการรายใหญ่ ก่อนที่จะมีการกระจายงานไปสู่ผู้ประกอบการขนาดกลาง และเล็กตามลำดับ
“การลงทุนของภาครัฐจะเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้มีการลงทุนต่างๆ และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยธนาคารยังคงเป้าหมายสินเชื่อรวมปีนี้เติบโต 4-6%” นายพิพิธ กล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารยังมองว่า การที่โครงการลงทุนของภาครัฐได้เลื่อนออกไปส่งผลต่อความเชื่อมั่น และการจับจ่ายใช้สอยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ โดยในไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมา ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารเติบโตเพียง 1% หรือมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตอยู่ที่ 120,000 ล้านบาท เติบโตต่ำกว่าภาพรวมตลาดที่เติบโต 2% ถือว่าเติบโตต่ำกว่าปกติที่ตลาดจะเติบโตเฉลี่ยราว 10% เนื่องจากกำลังซื้อที่ชะลอตามภาวะเศรษฐกิจ และภาครัฐไม่มีการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่า แนวโน้มในไตรมาส 2/60 จะเริ่มเห็นการปรับตัวดีขึ้นของยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แต่จะดีขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/60 ที่เป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ และในกรณีที่ภาครัฐเริ่มการประมูล และลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นให้กลับมา โดยธนาคารยังคงเป้ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรปี 60 อยู่ที่ 3.96 แสนล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปีก่อน และคงเป้าหมายจำนวนบัตรเคดิตใหม่อยู่ที่ 280,000 ใบ จากไตรมาสแรกบริษัทมีจำนวนบัตรอยู่ที่ 2.6 ล้านใบ ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการอนุมัติอยู่ที่ 30-40%