นักบริหารเงินและนักวิชาการเห็นพ้องค่าเงินบาทระยะสั้นมีความผันผวน โดยปัจจัยสำคัญยังคงต้องจับตาเงินทุนไหลเข้าลงทุน หรือเก็งกำไรในระหว่างที่รอความชัดเจนเรื่องระยะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟด แต่แนวโน้มระยะกลาง และระยะยาวมีโอกาสแข็งค่าขึ้น
น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มองแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะสั้นว่า ยังมีโอกาสผันผวน หลังจากที่เงินบาทในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ปรับตัวแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 2 ปี แต่ยังไม่หลุดแนวรับสำคัญที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้มีแรงซื้อดอลลาร์สหรัฐคืน
ขณะที่เงินบาทในสัปดาห์นี้เริ่มปรับอ่อนค่าลง หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาระบุว่า พร้อมจะใช้มาตรการดูแลเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วนี้ โดยจะใช้เครื่องมือที่มีอยู่เพื่อลดแรงจูงใจที่นักลงทุนต่างชาติจะนำเงินเข้ามาลงทุน หรือเก็งกำไรระยะสั้น ซึ่งส่วนใหญ่ คือ พันธบัตรระยะสั้น
“สัปดาห์ที่แล้วเรามองว่า บาทอาจจะแข็งค่าหลุดไปอยู่ 33.90 บาทได้ แต่พอผู้ว่าฯ ธปท.ออกมาพูดเมื่อต้นสัปดาห์นี้ sentiment เลยช่วยให้บาทอ่อนลงไปบ้าง โดยผู้ว่าฯ ธปท. บอกว่า ห่วงเรื่องทุนไหลเข้าระยะสั้น และจะเข้ามาดูแล พอมีปัจจัยนี้ เรามองว่า 1 เดือนข้างหน้า บาทน่าจะอยู่ในทิศทางอ่อนค่าได้ หลังจากไม่หลุด 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐลงไป เราให้ไว้ที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วง มิ.ย.” น.ส.รุ่ง กล่าว
ส่วนแนวโน้มเงินบาทในช่วงสิ้นปี 60 นั้น ยังขึ้นกับปัจจัยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นสำคัญ เพราะหากเฟด ไม่ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงการประชุมที่เหลืออยู่ในครึ่งปีหลัง (ก.ย., ธ.ค.60) จะทำให้เกิดแรงขายดอลลาร์สหรัฐเพื่อทำกำไรได้ บาทจะกลับมาแข็งค่าอยู่ในช่วง 34 บาทต้นๆ แต่ในทางกลับกันหากเฟด ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า จะปรับขึ้นดอกเบี้ย เงินบาทอาจจะไปอยู่แถวระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ขณะที่ประเมินว่า เงินบาท ณ สิ้นปี 60 จะอยู่ที่ระดับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
“ช่วงที่เหลือของปี ถ้าเฟด ไม่ส่งสัญญาณอะไรเลย ก็เป็นไปได้ว่า แนวโน้มเงินทุนจะไหลเข้ากลับมาในภูมิภาค ตลาดรอความชัดเจนในจุดนี้ เพราะนโยบายการคลังของสหรัฐฯ ก็ดูเหมือนจะสะดุด ความหวังที่ฝากไว้กับรัฐบาลทรัมป์ ก็เจอปัญหาการเมือง และขาดความชัดเจนว่า นโยบายใดบ้างที่จะทำได้จริงในปีนี้” น.ส.รุ่ง กล่าว
ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ BAY กล่าวว่า การใช้มาตรการของ ธปท.ด้วยการทยอยปรับลดปริมาณการออกพันธบัตร ธปท.ระยะสั้น เพื่อหวังจะลดแรงจูงใจของนักลงทุนต่างชาติในการนำเงินเข้ามาลงทุน หรือเก็งกำไรระยะสั้น อันจะส่งผลกระทบให้เงินบาทผันผวนนั้น ส่งผลในทางจิตวิทยาอยู่บ้าง เพราะนักลงทุนเริ่มกังวลว่า ธปท.จะมีการออกมาตรการที่เข้มงวดขึ้นอีกหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติก็ยังคงเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งดูได้จากตลาดตราสารหนี้ของไทยที่พบว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิเช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนไปลงทุนในพันธบัตรที่มีระยะเวลานานขึ้น
น.ส.รุ่ง มองว่า ปัจจัยสำคัญถึง 80% ที่มีผลต่อทิศทางค่าเงินบาท คือ นโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด เพราะไม่เพียงแต่มีผลต่อทิศทางค่าเงินบาทแล้ว ยังมีผลต่อทิศทางของค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ ในตลาดโลกด้วย ส่วนปัจจัยที่เหลืออีก 20% ที่จะมีผลต่อทิศทางค่าเงินบาทนั้น คงมาจากการดำเนินนโยบายทางการเงิน หรือมาตรการที่ ธปท.จะเลือกนำมาใช้ในการดูแลค่าเงิน
ส่วนแนวโน้มเงินบาทในปี 61 น.ส.รุ่ง เชื่อว่า ดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินบาท และสกุลเงินหลักอื่นๆ เนื่องจากปีหน้าธนาคารกลางของหลายประเทศมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับการทยอยลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลง ขณะที่เฟดได้เริ่มทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยไปตั้งแต่ปีนี้แล้ว ดังนั้น ภาวะดังกล่าวจึงทำให้เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่า โดยมองว่า ในไตรมาสแรกของปี 61 เงินบาทจะอยู่ในช่วง 34 บาทถ้วน ในขณะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงจะเริ่มปรับขึ้นตั้งแต่กลางปีหน้าเป็นต้นไป และเชื่อว่า ณ สิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1.50%
“ปีหน้าดอลลาร์น่าจะอ่อนค่า และบาทจะแข็ง แนวโน้มดอกเบี้ยของไทยคงเป็นครึ่งปีหลัง เพราะ กนง.ไม่ต้องการให้บาทแข็ง และยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับการ support เศรษฐกิจ ประกอบกับเงินเฟ้อในไทยยังอยู่ระดับต่ำ ยังไม่เข้ากรอบเป้าหมายของ กนง.” น.ส.รุ่ง กล่าว
น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย กลุ่มงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยคาดเงินบาทในช่วงกลางปีนี้ไว้ที่ระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนช่วงครึ่งปีหลัง ให้มุมมองไว้ในทิศทางที่บาทยังอ่อนค่า จากสาเหตุที่เชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้ง รวมเป็น 3 ครั้งภายในปีนี้ ต่อจากเดือน มี.ค.และ มิ.ย. ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ ก็จะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นๆ รวมทั้งเงินบาท โดยธนาคารคาดว่า สิ้นปีนี้เงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการปรับปรุงคาดการณ์เงินบาทในช่วงสิ้นปีล่าสุด จากก่อนหน้านี้ที่มองไว้ที่ 35.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ภายในปีนี้เงินบาทคงไม่อ่อนค่าไปได้มากนัก เพราะตลาดเงินตลาดทุนในไทยยังถือว่าเป็นที่สนใจของต่างชาติจะนำเงินเข้ามาลงทุน หรือทำกำไรในช่วงสั้นๆ ระหว่างที่รอความชัดเจนเรื่องระยะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งการที่ยังมีเงินทุนไหลเข้าไทย ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทไม่สามารถอ่อนค่าไปได้มากนัก
“ต่างชาติจะกระจายการลงทุนไปก่อน ในระหว่างที่ยังไม่มีความชัดเจนว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงไหน ตลาดในฝั่งเอเชียเป็นเป้าหมายของการลงทุน เขาก็จะกระจายเงินทุนมาที่ไทย ที่เกาหลี มี inflow เพราะเรายังเป็นตัวเลือกของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้” น.ส.กาญจนา กล่าว
นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่เงินบาทปีนี้จะไม่อ่อนค่าไปมากเกินกว่าระดับที่ธนาคารคาดไว้ เนื่องจากสหรัฐฯ ยังมีประเด็นปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งปัจจัยนี้จะเป็นตัวกดให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า แม้ที่ผ่านมา การส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นก็ตาม
“ครึ่งปีหลังสหรัฐฯ ยังมีประเด็นการเมืองที่ต้องติดตาม ดังนั้น ปัจจัยนี้จะเป็นการจำกัดกรอบการแข็งค่าของดอลลาร์กลายๆ แม้การที่เฟด ขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นซัปพอร์ตของดอลลาร์สหรัฐก็ตาม แต่ซัปพอร์ตนั้น จะถูกลดทอนลงไปจากประเด็นของทรัมป์” น.ส.กาญจนา กล่าว
ส่วนมุมมองเรื่องอัตราดอกเบี้ยของไทยนั้น เชื่อว่าภายในปีนี้ยังไม่มีปัจจัยให้ กนง.ต้องตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปจากระดับปัจจุบันที่ 1.50% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ดังนั้น การรักษาดอกเบี้ยในระดับนี้ถือว่าเหมาะสมที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ยังไม่ได้สร้างแรงดันให้จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ ดังนั้น หาก กนง.จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คาดว่า จะอยู่ในช่วงปี 2561
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชนสำหรับนักบริหาร (MPPM Executive program) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มองสถานการณ์ค่าเงินบาทในระยะสั้น จะมีความผันผวนตามปัจจัยทั้งภายใน และภายนอกประเทศ แต่แนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว มีโอกาสแข็งค่าขึ้น เนื่องจากเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดทุน (พันธบัตร) ตลาดหุ้น และการลงทุนจริง หลังนักลงทุนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมือง และศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ เมื่อมีความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง รวมถึงการจัดการเลือกตั้งตามโรดแมปที่รัฐบาลประกาศไว้
“บาทเคยแข็งค่าลงไปอยู่ที่ 28-29 บาทต่อดอลลาร์ และในอดีตเคยอ่อนค่าไปถึง 57 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนจากต่างประเทศ” นายมนตรี กล่าว
สถานการณ์ค่าเงินบาทในระยะสั้นจะมีความผันผวนไปตามปัจจัยที่เข้ามาในแต่ละช่วงเวลา การที่เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าในปัจจุบันเกิดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากปัญหาการเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนในเชิงเปรียบเทียบ แต่ในระยะยาวคงต้องดูปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
“เงินบาทแข็งค่าไปตามกลไกตลาด เราอยู่เฉยๆ แต่ดอลลาร์อ่อนค่า ถึงแม้แบงก์ชาติจะสามารถเข้าไปแทรกแซงค่าเงินได้ แต่คงจะไม่สามารถทำให้บาทแข็งค่า หรืออ่อนค่ามากเกินไป เพราะจะเกิดช่องว่างที่ทำให้มีการเก็งกำไร” นายมนตรี กล่าว
ผู้อำนวยการหลักสูตร MPPM นิด้า กล่าวอีกว่า เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้นในอนาคต โดยมีปัจจัยจากความชัดเจนทางการเมือง หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปลายปีนี้ตามโรดแมปของรัฐบาลก็มีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าต่ำกว่า 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และแข็งค่าลงไปต่ำกว่า 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ หากมีความคืบหน้าของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานตามที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ ซึ่งจะเป็นแรงดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามา
“ที่ผ่านมา แม้มียอดบีโอไอสูง แต่ไม่ได้มีการลงทุนจริง หลังจากนี้ หากนักลงทุนมั่นใจ ก็จะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าไปตามกลไกตลาด ความจริงน่าจะเป็นข่าวดีมากกว่า” นายมนตรี กล่าว
ผู้อำนวยการหลักสูตร MPPM นิด้า กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินในขณะนี้มีความเปราะบาง เนื่องจากประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการส่งออก ที่มีสัดส่วนมากถึง 72% ทำให้ต้องมีการดูแลค่าเงินอย่างระมัดระวังไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออก แต่ในทางตรงกันข้ามกลุ่มผู้ประกอบการ ที่ต้องอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำผลิตสำหรับส่งออกมากกว่า 50% ขึ้นไป จะได้ประโยชน์ เพราะต้นทุนถูกลง
“ผู้ประกอบการคงต้องเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ ทั้งการปรับปรุงคุณภาพสินค้า การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ใช่อาศัยความได้เปรียบจากเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียว” นายมนตรี กล่าว
ผู้อำนวยการหลักสูตร MPPM นิด้า กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในอนาคตของประเทศไทยมีมากขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้าหลังรวมกลุ่ม AEC เนื่องจากมีศักยภาพในเรื่องทรัพยากร และตลาดที่มีประชาชนราว 650 ล้านคน ซึ่งจะเป็นปัจจัยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในภูมิภาคนี้
ขณะที่ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าในขณะนี้เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากเกิดปัญหาการเมืองภายในสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจเรื่องความคืบหน้าในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศไว้ ซึ่งหากสถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายก็เชื่อว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะกลับมาแข็งค่าตามเดิม
“เงินบาทแข็งค่าช่วงสั้นๆ ตามสกุลเงินอื่นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่มีปัญหาการเมืองภายใน ทำให้นักลงทุนลังเลว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามที่ทรัมป์ เคยประกาศไว้ อาจชะลอออกไป แต่ถ้าสถานการณ์คลี่คลาย ค่าเงินดอลลาร์ก็คงกลับมาแข็งค่าตามเดิม เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังขยายตัว จะเห็นว่า ช่วงที่สหรัฐฯ มีปัญหาขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ ก็ไม่ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า” นายกอบศักดิ์ กล่าว
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาเงินบาทแข็งค่าอาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าเกษตรบ้าง แต่ก็มีแนวทางแก้ไขด้วยการถือครองดอลลาร์ไว้ก่อนเพื่อรอจังหวะให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าในระดับที่พอใจ ส่วนผู้ส่งออกทั่วไปก็ต้องปรับตัว โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบเข้ามาผลิตเพื่อส่งออกก็ควรอาศัยจังหวะนี้
“ผู้ส่งออกคงต้องอดทนต้องจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพื่อมีเวลาที่จะถือครองดอลลาร์ไว้ หรือหากเป็นผู้ที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตก็อาศัยจังหวะนี้ เพราะไม่ได้เป็นการเก็งกำไร” นายกอบศักดิ์ กล่าว
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทิศทางเงินบาทไม่น่าจะแข็งค่าจนทำให้การแข่งขันทางการค้าในตลาดโลกลดลง เพราะในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าก็ทำให้เงินทุกสกุลกลับมาแข็งค่ามากบ้างน้อยบ้างเช่นเดียวกับเงินบาท และหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า
ในอนาคตอันใกล้นี้ รัฐบาลมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องอาศัยการนำเข้าเป็นมูลค่ามหาศาล ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่ามากขึ้น ส่วนข้อกังวลว่า หลังจากโครงสร้างพื้นฐานเสร็จแล้ว จะมีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก จะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่านั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะกว่าจะถึงเวลานั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีมาตรการออกมารองรับได้ทัน
“คงบอกไม่ได้ว่า ค่าเงินบาทควรจะอยู่ที่ระดับไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมในขณะนั้น” นายกอบศักดิ์ กล่าว