xs
xsm
sm
md
lg

ฟ็อกซ์ ฟ้องแบงก์กรุงเทพ 2.5 พันล้าน เบี้ยวจ่ายแบงก์การันตีแทน “แกรมมี่-ซีทีเอช”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ฟ็อกซ์ เน็ตเวิร์ค กรุ๊ป เอเชีย ยื่นต่อศาลฟ้องธนาคารกรุงเทพ เรียกค่าเสียหายมูลค่า 2,500 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย กรณีออกแบงก์การันตีค้ำประกันการชำระเงินให้กับ “แกรมมี่-ซีทีเอช” ที่ยกเลิกกิจการไปแล้ว แต่ไม่ยอมจ่ายค่าลิขสิทธิ์

วันนี้ (14 ธ.ค.) ฟ็อกซ์ เน็ตเวิร์ค กรุ๊ป เอเชีย (ฟ็อกซ์) แจ้งว่า บริษัทได้ยื่นเรื่องต่อศาลที่ฮ่องกง และไทย ฟ้องธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กรณีไม่จ่ายแบงก์การันตีสำหรับค่าลิขสิทธิ์การออกอากาศรายการของฟ็อกซ์ แทนบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) (GRAMMY) และบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) (CTH) สองยักษ์ใหญ่ธุรกิจดิจิตอลทีวีที่ยุติการให้บริการไปแล้ว

ทั้งนี้ ฟ็อกซ์ได้ทำสัญญาให้สิทธิในการออกอากาศรายการต่างๆ แก่แกรมมี่ และซีทีเอช ตั้งแต่ปี 2556 โดยทั้งสองบริษัทได้ค้างชำระค่าสิทธิการออกอากาศดังกล่าวเป็นมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท และต้องชำระดอกเบี้ยกรณีจ่ายล่าช้า ซึ่งธนาคารกรุงเทพ เป็นผู้ออกแบงก์การันตีเพื่อค้ำประกันการชำระเงินให้กับแกรมมี่ และซีทีเอช และตั้งแต่ปี 2558 ธนาคารกรุงเทพไม่ได้ทำตามสัญญาเพื่อจ่ายแบงก์การันตีแทน 2 บริษัทดังกล่าวเลย

“ฟ็อกซ์มีความผูกพันอย่างยาวนานต่ออุตสาหกรรมสื่อในประเทศไทย เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอรายการบันเทิง และรายการกีฬาระดับคุณภาพแก่ผู้ชมชาวไทย” นายซูบิน กานเดเวีย ประธานบริษัท ฟ็อกซ์ เน็ตเวิร์ค กรุ๊ป ประจำภูมิภาพเอเชีย-แปซิฟิก และตะวันออกกลาง กล่าว “เรื่องนี้ทำให้เราผิดหวังเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศไทยผิดสัญญาในการจ่ายแบงก์การันตี ซึ่งการผิดสัญญาในครั้งนี้ไม่เพียงจะส่งผลต่อฟ็อกซ์ เท่านั้น แต่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยอยู่ในระดับที่สูง”

สืบเนื่องจากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เปิดประมูลใบอนุญาตการดำเนินกิจการทีวีดิจิตอล และสร้างรายได้ให้แก่รัฐกว่า 50,000 ล้านบาท โดยมีธนาคารกรุงเทพ เป็นผู้ออกแบงก์การันตีรายใหญ่ที่สุดแก่ผู้ให้บริการทีวีดิจิตอลในประเทศไทย โดยออกแบงก์การันตีแก่ผู้ให้บริการจำนวน 14 รายจากทั้งหมด 24 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท หรือราวร้อยละ 41 ของค่าลิขสิทธิ์ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ผู้ชนะการประมูลต้องประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากการซื้อขายเวลาโฆษณาชะลอตัว อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน อีกทั้งผู้ชมยังคงนิยมรับชมทีวีแบบอนาล็อก และเปลี่ยนมาดูทีวีแบบดิจิตอลในอัตราที่ต่ำอยู่มาก

การยุติการให้บริการของทีวีดิจิตอลช่องต่างๆ นับเป็นการทดสอบระบบของธนาคารไทย เนื่องจากส่งผลให้บรรดาเจ้าหนี้ขอให้ธนาคารหลักหลายแห่งในประเทศไทยต้องจ่ายแบงก์การันตีแก่คู่สัญญา และผู้ผลิตหลายราย

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การซื้อเวลาโฆษณาในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยการซื้อเวลาโฆษณาผ่านช่องทีวีดิจิตอลถือว่าต่ำมาก โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 การซื้อเวลาโฆษณาผ่านทีวีดิจิตอล คิดเป็นมูลค่าราว 9,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การซื้อเวลาโฆษณาผ่านทีวีอนาล็อกลดลงร้อยละ 11 คิดเป็นมูลค่าราว 26,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการบริโภคภายในประเทศที่ลดลง

“ความน่าเชื่อถือของธนาคารถือว่าเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้ให้บริการทางการเงิน แบงก์การันตีที่ออกโดยธนาคารถือว่าเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เป็นพื้นฐานต่อทั้งระบบการเงิน และการพาณิชย์ของประเทศ ดังนั้น การทำหน้าที่ผู้ค้ำประกันตามสัญญาถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ผู้ลงทุนเชื่อมั่นต่อธนาคารไทย การเพิกเฉยในการทำหน้าที่ดังกล่าว จึงถือเป็นความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของธนาคารกรุงเทพเอง” นายกานเดเวีย กล่าว

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวเป็นไปในลักษณะเดียวกับบริษัท ไทยทีวี จำกัด ของนางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย หรือ ติ๋ม ทีวีพูล ที่ได้หยุดดำเนินกิจการทีวีดิจิตอล 2 ช่อง คือ ช่องไทยทีวี และช่องโลก้า ซึ่งธนาคารกรุงเทพ ก็ได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ตามกฎหมายเช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น