อาฟเตอร์ ยู เคาะราคา IPO หุ้นละ 4.50 บาท เตรียมเปิดให้จองซื้อ 14-16 ธันวาคมนี้ คาดเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ปลายเดือนธันวาคมนี้ ประกาศตั้ง บล.บัวหลวง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย ส่วน บล.ธนชาต และ บล.ไทยพาณิชย์ เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย ด้านผู้บริหาร วางแผนลงทุนเครื่องจักร และอุปกรณ์การผลิตในโรงงานเพิ่มเติม
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด ( มหาชน) หรือ AU ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO และแต่งตั้งบริษัท บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ สำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา มีช่วงราคาเสนอขายที่หุ้นละ 4.30 - 4.50 บาท โดยพบว่า มีนักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 4.50 บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของธุรกิจ และแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ดังนั้น จึงได้กำหนดราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 4.50 บาท โดยจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 14-16 ธันวาคมนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรก ในวันที่ 23 ธันวาคม 2559
ทั้งนี้ บมจ.อาฟเตอร์ ยู จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหารและ/หรือพนักงานของบริษัทฯ รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 165 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 22.8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ปัจจุบัน บมจ.อาฟเตอร์ ยู มีทุนจดทะเบียน 72.5 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 725 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.10 บาท โดยทุนที่ออกจำหน่าย และชำระแล้ว มีจำนวน 56 ล้านบาท
ส่วนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนนั้น ได้แบ่งการจัดสรรเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.การจัดสรรเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 161.5 ล้านหุ้น 2.เสนอขายให้แก่กรรมการบริษัทฯ จำนวน 1.5 ล้านหุ้น และ 3.เสนอขายให้แก่ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานบริษัทฯ จำนวน 2 ล้านหุ้น ซึ่งในกรณีที่มีหุ้นสามัญที่เหลือจากการเสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานบริษัทฯ นั้น จะจัดสรรเพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนภายใต้ดุลยพินิจของ บมจ.อาฟเตอร์ ยู และผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายต่อไป โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ขยายสาขาร้านอาฟเตอร์ ยู ใช้ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรในโรงงานเพิ่มขึ้น และก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน ศูนย์กระจายสินค้า ตลอดจนนำไปชำระคืนเงินกู้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
โดยกล่าวว่า สำหรับการเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรก ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ.อาฟเตอร์ ยู อาจจะเสนอขายหุ้นสามัญเดิมที่ตนถืออยู่ต่อบุคคลในวงจำกัด จำนวนไม่เกิน 50 ราย จำนวน 52.5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 7% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ในราคา IPO ซึ่งการที่ผู้ถือหุ้นเดิมนำหุ้นของตนเองมาขายในวันแรกของการเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ แทนการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน เนื่องจากมีเป้าหมายต้องการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นในกระดาน และยังสะท้อนมุมมองของนักลงทุนที่ต้องการเข้าถือหุ้น บมจ.อาฟเตอร์ ยู ในระยะยาว เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจ และมีศักยภาพการเติบโตได้อีกมาก ขณะเดียวกัน ยังจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ไม่ปรับลดลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในอนาคตอีกด้วย
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.59) ของ บมจ.อาฟเตอร์ ยู ถือว่ามีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น โดยมีรายได้รวม 440.9 ล้านบาท เติบโต 54.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 286.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.6% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 37.2 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยมาจากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโตขึ้นจากความนิยมในเมนูน้ำแข็งไสคากิโกริ การออกเมนูใหม่ และเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น
นายแม่ทัพ ต.สุวรรณ กรรมการผู้จัดการAU กล่าวว่า บริษัทฯ แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 2 ส่วน คือธุรกิจร้านขนมหวานภายใต้เครื่องหมายการค้า “อาฟเตอร์ ยู” และ “เมโกริ” ซึ่งเป็นร้านน้ำแข็งไสที่เหมาะกับประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อน โดย ณ วันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ร้านอาฟเตอร์ ยู มี 18 สาขา และเมโกริ มีจำนวน 2 สาขา และธุรกิจรับบริการจัดงานนอกสถานที่ และรับจ้างผลิต อาทิ งานสังสรรค์ งานแต่งงาน การรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่สายการบินหรือร้านอาหารภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ
โดยบริษัทฯ ยังได้วางแผนขยายธุรกิจทั้งในระยะสั้น และระยะกลาง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจขนมหวาน และเบเกอรี่ครบวงจร ได้แก่ การขยายสาขาร้านขนมหวานในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด เพิ่มขึ้นเป็น 30 สาขาภายในปี 2561 รวมถึงจะขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนก่อสร้างสำนักงานใหม่ สถานที่ฝึกอบรมพนักงาน และศูนย์กระจายสินค้า ตลอดจนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต พร้อมวางแผนลดต้นทุนการผลิตโดยลงทุนเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ในการผลิตภายในโรงงานเพิ่มเติมรวมถึงปรับระบบการเช่าพื้นที่ขยายสาขา จากการเช่าแบบระยะสั้นเป็นระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัตราการทำกำไรในอนาคต
นางสาวกุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.อาฟเตอร์ ยู กล่าวว่า จากความชื่นชอบในการทำขนมหวาน และเริ่มสั่งสมประสบการณ์จากการลงมือทำสู่การพัฒนาธุรกิจร้านขนมหวานภายใต้ชื่อร้านอาฟเตอร์ ยู โดยเปิดสาขาแรกที่เจ อเวนิว ซอยทองหล่อ 13 เพื่อจำหน่ายของหวานที่ปรุงสดเสิร์ฟคู่กับไอศกรีมที่สร้างความแตกต่างจากร้านขนมหวานทั่วไป ทำให้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็วภายในระยเวลาเพียง 2 เดือนหลังจากที่เปิดให้บริการ
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจกว่า 9 ปี บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นสร้างความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ และบริการจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ทั้งการให้ความสำคัญกับรสชาติผลิตภัณฑ์ การสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง การให้บริการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคเพื่อให้เกิดการบอกต่อ การรักษา และขยายฐานลูกค้าใหม่ การคัดเลือกทำเลที่ตั้ง ตลอดจนการทำตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งปัจจุบัน “อาฟเตอร์ ยู” มีเมนูของหวานและเครื่องดื่มให้บริการกว่า 100 รายการ รวมถึงมีการจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก โดยมีเมนูที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภค อาทิ กลุ่มฮันนี่โทส ช็อกโกแลตลาวา คากิโกริ จึงเป็นปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ร้านอาฟเตอร์ ยู เป็นร้านขนมหวานในใจผู้บริโภคทุกช่วงอายุตั้งแต่เด็กนักเรียน ผู้ใหญ่จนถึงผู้สูงอายุ