xs
xsm
sm
md
lg

SCB เจาะลึก Digital Economy โอกาสของภาคธุรกิจที่มาพร้อมความท้าทาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


SCB EIC เผยบทวิเคราะห์ Digital Economy โอกาสของภาคธุรกิจที่มาพร้อมความท้าทาย แนะจับตารูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่สังคมดิจิตอล ขณะที่ภาครัฐได้ประกาศแผน Digital Thailand ที่มุ่งเน้นการวางรากฐานด้านโครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร นำไปสู่ประเทศไทย 4.0

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วิเคราะห์เรื่อง Digital Economy “โอกาสที่มาพร้อมความท้าทาย” โดยระบุว่า Digital Economy ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ภาครัฐเร่งผลักดันเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ และสังคมของไทย โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จะเห็นความคืบหน้าของนโยบายดังกล่าวผ่านการจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การจัดทำแผนงาน Digital Thailand ตลอดจนการเร่งผลักดันโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ที่ล่าสุด วันที่ 7 ธ.ค.59 ครม.ได้มีมติมอบหมายให้ TOT เป็นผู้ดำเนินการใน 24,700 หมู่บ้าน และ กสทช. ดำเนินการในหมู่บ้านที่เหลืออีก 15,732 หมู่บ้าน

อีไอซี มองว่า นโยบาย Digital Economy ถือเป็นการสร้างโอกาสให้แก่หลายๆ ธุรกิจ แต่ในทางกลับกัน การก้าวเข้าสู่สังคมดิจิตอลกลับสร้างความท้าทายให้แก่ธุรกิจแบบดั้งเดิม ตลอดจนแรงงานทั่วไปที่ขาดทักษะด้านดิจิตอล ที่จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ เศรษฐกิจดิจิตอล หรือ Digital Economy ถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลหลายประเทศให้ความสนใจ และหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวชูโรงเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยกว่า 80% ของประเทศที่เป็นสมาชิก OECD หรือกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส ต่างมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้าน Digital Economy ทั้งสิ้น

ส่วนไทยนั้น ภาครัฐได้ประกาศแผน “Digital Thailand” ที่มุ่งเน้นการวางรากฐานด้านโครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร ซึ่งจะสร้างโอกาสให้แก่อุตสาหกรรม ICT ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกให้ไทยก้าวเข้าสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” หรือ “ยุคที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” ได้ในเร็ววัน โดยโครงการส่วนใหญ่เป็นโครงการเพื่อยกระดับคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอล ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะต่อยอดให้เกิดการพัฒนาด้านนวัตกรรม อาทิ โครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน 40,432 แห่ง และโครงการเคเบิลใต้น้ำ รวมมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าโครงการที่มีเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเหล่านี้ย่อมส่งผลบวกโดยตรงต่อทั้งผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตัวแทนจัดจำหน่ายอุปกรณ์ ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISPs) และผู้ออกแบบ และรับติดตั้งระบบ (system integrator)

นอกจากนี้ แผน Digital Thailand ยังเป็นการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจให้แก่ธุรกิจประเภทอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ Startup และ SMEs ที่จะได้รับองค์ความรู้ผ่านการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการ และการให้ความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซ หรือแม้กระทั่งธุรกิจแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และธุรกิจลอจิสติกส์ที่จะได้รับประโยชน์ตามมาจากความต้องการใช้เทคโนโลยี และความต้องการในการขนส่งสินค้า เพื่อรองรับตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ยิ่งไปกว่านั้น แผน Digital Thailand ยังเป็นตัวเร่งเครื่องให้ภาคเอกชนหันมาลงทุนเพิ่มขึ้น โดยจากกรณีศึกษาในอังกฤษ และแคนาดา พบว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตจะเหนี่ยวนำให้เกิดการลงทุนภาคเอกชน (crowding in effect) ตามมาอีกกว่า 10 เท่า อีกทั้งยังมีบทบาทในการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้ถึง 15 เท่าของเงินลงทุนตั้งต้น

ดังนั้น เมื่อมองย้อนกลับมายังโครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านของไทยที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทแล้ว ย่อมถือเป็นโอกาสที่จะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจากภาคเอกชนตามมากว่า 1.5 แสนล้านบาท และมีส่วนช่วยเพิ่ม GDP ของไทยได้มากถึง 2.25 แสนล้านบาท หรือราว 2% ของ GDP

แต่ในอีกมุมหนึ่ง การก้าวเข้าสู่สังคมดิจิตอลกลับทำให้ธุรกิจแบบดั้งเดิมต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ เนื่องจากเทคโนโลยีจะทำให้รูปแบบการทำธุรกิจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหากภาคธุรกิจยังคงทำธุรกิจในรูปแบบเดิมๆ ก็อาจไม่สามารถแข่งขันกับกับบริษัท Startup หน้าใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีได้

นอกจากนี้ ยังต้องจับตามองรูปแบบการจ้างงานที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากกรณีศึกษาของกลุ่มประเทศ OECD พบว่า แม้ว่าการก้าวเข้าสู่สังคมดิจิตอลจะไม่ได้ลดปริมาณการจ้างงานทั้งในภาพรวม และภาค ICT แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือ งานในยุคดิจิตอลจะมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะฝีมือสูงมากขึ้น ชี้ให้เห็นจากสัดส่วนการจ้างงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน ICT ต่อการจ้างงานทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 4% ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี สวนทางกับแรงงานไร้ฝีมือที่จะค่อยๆ ลดบทบาทลง โดย OECD คาดการณ์ว่า งานกว่า 9% มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี และเครื่องจักรในอนาคต

SCB EIC ได้แนะผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรมปรับตัวให้สอดรับกับยุคดิจิตอล เพื่อให้ได้รับอานิสงส์สูงสุดจากนโยบายของภาครัฐ เช่น ผู้ประกอบการควรศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ การเชื่อมโยงอุปกรณ์ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet of Things) การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) หรือการระดมข้อมูลจากมวลชน (crowdsourcing) และเตรียมพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในอนาคต ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ไม่ชำนาญด้านเทคโนโลยีอาจร่วมมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทด้าน ICT ให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นมากที่สุด

ขณะที่ภาครัฐควรเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่แรงงานไทย เพื่อรองรับความท้าทายของตลาดแรงงานในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภาวะการแข่งขันกับคอมพิวเตอร์ และเครื่องจักร และการแข่งขันกับแรงงานต่างชาติที่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีจะมีบทบาททำให้การทำงานไร้พรมแดนมากขึ้น โดยภาครัฐอาจร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อจัดหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มทักษะแก่แรงงานไทยทั้งในด้านที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น ทักษะด้านภาษา ตลอดจนการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นทักษะที่คอมพิวเตอร์ยังไม่สามารถทำได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ภาครัฐยังควรส่งเสริมให้เอกชนหันมาลงทุนผลิตอุปกรณ์ด้าน ICT ให้มากขึ้น เพื่อลดภาระการนำเข้าสินค้า ซึ่งที่ผ่านมา ไทยนำเข้าเครื่องรับส่งสัญญาณและอุปกรณ์โทรคมนาคมจากต่างประเทศค่อนข้างมาก โดยมีมูลค่านำเข้ารวมกว่า 1.2 แสนล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตกว่า 15-20% ต่อปี ทั้งนี้ ภาครัฐอาจเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านภาษี รวมถึงลดข้อจำกัดด้านการถือหุ้นของต่างชาติเพื่อให้เกิดการลงทุนในไทยเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีให้มากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น