บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ๊นซ์ คงเป้ารายได้ปี 2560 เติบโตไม่น้อยกว่า 5-10% เท่ากับปีนี้ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปีหน้าคาดจะรักษาไว้ไม่ให้น้อยกว่า 40% และอัตรากำไรสุทธิ จะเติบโตที่ 8-10% เผยเข้าซื้อหุ้นลงทุนใน Bio-Life Marketing จะรับรู้รายได้ทันทีไม่น้อยกว่า 8 แสนเหรียญสหรัฐ-1 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะการทุ่มงบ 540 ล้านบาท ลงทุนทำคลังสินค้าในประเทศพม่า คาดเสร็จเรียบร้อยในปี 2561 พร้อมรุกตลาดสินค้าสุขภาพในกลุ่มประเทศ AEC เพราะมีกำลังซื้อสูง
นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เมก้า ไลฟ์ไซแอ๊นซ์ หรือ MEGA กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจของบริษัทในรอบปี 2559 ว่า บริษัทมั่นใจว่า รายได้รวมในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 5-10% โดยหลังจากผลกประกอบการ 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมกว่า 6,239.41 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 9.7% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่แนวโน้มของปี 2560 นั้นบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 5-10% เท่ากับในปีนี้ ส่วนกำไรสุทธิในปีหน้านั้น คาดว่าจะอยู่ที่ 8-9% เทียบจาก 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งอยูที่ 8.01% และจะยังคงรักษามาตรฐานของอัตรากำไรขั้นต้น หรือ Gross profit margin ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 40% จาก 9 เดือนแรกของปี 59 ซึ่งอยู่ที่ 41.52%
“เราประเมินผลประกอบการในไตรมาส 4/2559 จะเติบโตในระดับที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของบริษัทฯ และเทรนด์การรักษาสุขภาพ และเป็นช่วงปีใหม่ที่คนจะนิยมซื้อของขวัญให้กัน โดยยอดขายมีแนวโน้มขยายตัวทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ AEC ได้แก่ เวียดนาม พม่า และ กัมพูชา ซึ่งตลาดสินค้าสุขภาพได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาเข้าซื้อหุ้นของ Bio-Life Marketing มูลค่าสุทธิที่ 605 ล้านบาท ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกับบริษัท DKSH Holding Ltd ใน Swiss group โดยบริษัทคาดว่า จะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาาคมที่ผ่านมา ประมาณ 8 แสนเหรียญสหรัฐถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ปี 2560 คาดว่าจะรับรู้รายได้ไม่น้อยกว่า 12 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะกระตุ้นยอดขายโดยเฉลี่ยให้เพิ่มขึ้นได้ 10% ทั้งนี้ บริษัทประเมินว่า การขยายตลาดสินค้าวิตามิน และอาหารเสริมในมาเลเซีย ซึ่งสามารถขยายตัวได้อีกมาก
ขณะที่ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันนั้น บริษัทฯ เตรียมที่จะขึ้นทะเบียนยาและอาหารเสริมอีกอย่างน้อย 58 ผลิตภัณฑ์ และอยู่ในช่วงของการพัฒนา และวิจัยยาตัวใหม่อีก 68 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเฉลี่ยบริษัทจะสามารถผลิตยาและอาหารเสริมออกมาจำหน่ายในท้องตลาดอย่างน้อย 10 ผลิตภัณฑ์/ปี
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกลยุทธการลงทุนนั้น บริษัทได้มองหาการลงทุนแบบ M&A ซึ่งจะมีส่วนช่วยที่สำคัญให้บริษัทสามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ โดยบริษัทได้อนุมัติงบลงทุนไว้ที่ปีละ 600 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่แล้วในขณะนี้จะใช้ไปในการขยายคลังสินค้า และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ใช้เงินส่วนนี้ไปแล้วประมาณ 620 ล้านบาท โดยใช้ลงทุนในการก่อสร้างคลังสินค้าที่ประเทศพม่า มูลค่า 540 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างภายในปี 2560 และคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในไตรมาส 3/2561
ขณะที่แผนการร่วมทุนกับ บมจ.มาลีกรุ๊ป หรือ MALEE นั้น จุดประสงค์สำคัญ คือ เพื่อกระจายความเสี่ยง และมองหาการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในไทย และต่างประเทศ ซึ่งได้มีการลงทุนขั้นต้นไปแล้ว 10 ล้านบาท โดยแบ่งส่วนของการบริหารออกเป็น บริษัทจะเป็นผู้วิจัยผลิตภัณฑ์ และมาลีกรุ๊ป จะเป็นผู้ผลิตสินค้าออกวางจำหน่าย โดยคาดว่าจะเริ่มแล้วเสร็จ และวางจำหน่ายสินค้าได้ในไตรมาส 3/2560 ขณะที่ในส่วนของการลงทุนทำศูนย์วิจัยสุขภาพแห่งแรกของบริษัทในประเทศไทย ซึ่งใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นกว่า 70 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันได้เปิดใช้งานแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงของการทดลองให้บริการ โดยบริษัทจะสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในช่วงต้นปีหน้า