บลจ.กสิกรไทยเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม-31 ตุลาคม 2559 ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนของวันที่ 7 ธันวาคม 2559 (XD Date) ในอัตรา 0.1600 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าการจ่ายเงินปันผลกว่า 150.249 ล้านบาท
นายเขมชาติ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม-31 ตุลาคม 2559 ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนของวันที่ 7 ธันวาคม 2559 (XD Date) ในอัตรา 0.1600 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าการจ่ายเงินปันผลกว่า 150.249 ล้านบาท โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 26 ธันวาคม 2559
นายเขมชาติกล่าวต่อไปว่า สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน WHAPF ที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง และมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างสม่ำเสมอนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2553 เป็นต้นมา ซึ่งหากนับรวมการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้ด้วย กองทุน WHAPF มีการจ่ายเงินปันผลแล้ว 23 ครั้ง เป็นอัตรารวมทั้งสิ้น 4.0781 บาทต่อหน่วย โดยสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 6.95% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงานในรอบบัญชีที่ผ่านมา (วันที่ 1 ส.ค. 2559 ถึงวันที่ 31 ต.ค. 2559) กองทุนยังคงมีรายได้อย่างสม่ำเสมอจากค่าเช่าของอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานต่างๆ โดยในปัจจุบันกองทุน WHAPF ถือครองทรัพย์สินในโครงการรวมแล้วทั้งสิ้นจำนวน 17 โครงการ เช่น โครงการคลังสินค้า Kao 1, Kao 2 และ Kao 3, โครงการอาคารคลังสินค้า DKSH จำนวน 7 โครงการซึ่งตั้งอยู่ที่บางพลี บางปะอิน และบริเวณถนนบางนา-ตราด กม.20, โครงการศูนย์กระจายสินค้า WHA Mega Logistics Center บนถนนบางนา-ตราด กม.19 และโครงการศูนย์กระจายสินค้า WHA Mega Logistics Center บริเวณ อ.พานทอง จ.ชลบุรี, โครงการ DSG 1, 2 และ 3 ในเขตประกอบการเหมราช จ.สระบุรี และยังมีโครงการโรงงานอีก 3 โครงการ คือ โครงการโรงงาน Primus และโครงการโรงงาน Ducati 1 และ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ระยอง
นายเขมชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้า เชื่อว่าน่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นจากนโยบายหลัก และมาตรการเสริมที่รัฐบาลเริ่มประกาศออกมาตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ เช่น มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และมาตรการชอปช่วยชาติ แม้จะเป็นเพียงมาตรการกระตุ้นระยะสั้น แต่เชื่อว่าน่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และทำให้มีเงินหมุนเวียนภายในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงรอยต่อก่อนที่โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเริ่มลงทุนเต็มที่ในปีหน้า และเชื่อว่าน่าจะส่งผลดีต่อเนื่องยังภาคการลงทุนอาจขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ดีมานด์ของการใช้บริการจัดเก็บสินค้า คลังสินค้าได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้แก่กองทุนในการสร้างรายได้จากสัญญาเช่าพื้นที่เพิ่มเติม