เจ.เอส.พี.ฯ ปรับพอร์ตลงทุนรับมือตลาดที่อยู่อาศัยผันผวน หันรุกบ้านแนวราบราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ชี้กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ตลาดโตต่อเนื่อง รับรู้รายได้เร็ว แถมยอดรีเจกต์ต่ำ ขณะที่คอนโดฯ ตลาดชะลอตัวยอดรีเจกต์สูงแตะ 40% คาดอสังหาฯ ปี 60 ทรงตัว
นายไพโรจน์ วัฒนวโรด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 ยังมีแนวทรงตัวต่อเนื่องจากปีนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโต รวมถึงความชัดเจนในการเลือกตั้ง สร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกของเศรษฐกิจโลกจากนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ที่กีดกันการค้าจากประเทศจีน และกลุ่มความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ทีพีพี (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement : TPP) ที่มีออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น แคนาดา สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ชิลี เม็กซิโก และอื่นๆ
ทั้งนี้หากนายโดนัล ทรัมป์ ปฏิเสธการค้ากับกลุ่มประเทศเหล่านี้จะทำให้กลุ่มทุนไหลกลับมายังไทย โดยเฉพาะจีนที่จะเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในไทยมากขึ้น เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เขตนิคมอุตสาหกรรมเกิดความต้องการที่อยู่อาศัยโดยรอบนิคมฯ บ้านที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่จะเติบโตได้ดี
สำหรับนโยบายการลงทุนของบริษัทในปี 2560 ได้ปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ โดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาโครงการแนวราบราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทเพิ่มมากขึ้น สัดส่วนเป็น 65% โดยจะลดสัดส่วนการลงทุนคอนโดมิเนียมลงเหลือ 10% ส่วนที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์ และอื่นๆ 30% เนื่องจากเป็นการบริหารความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน โครงการแนวราบสามารถพัฒนาได้เร็ว รับรู้รายได้เร็ว อีกทั้งยังเป็นตลาดมีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือเรียลดีมานด์
“แม้ในสถานการณ์ที่ตลาดมีการชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา แต่บริษัทยังคงมียอดขายอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยเดือนละกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างกระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่ยอดปฏิเสธสินเชื่อของโครงการแนวราบยังอยู่ที่ระดับ 20% เท่านั้น ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมมีปัญหาในเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์จากลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินสูงถึง 30-40%” นายไพโรจน์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังพบว่าตลาดแนวราบโดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท พบว่าเป็นตลาดใหญ่ และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องจากมูลค่าตลาดรวม 7 หมื่นล้านบาท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพิ่มเป็น 9 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ขณะที่ตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาท มูลค่าตลาดรวม 9 หมื่นล้านบาท ไม่มีการเติบโตตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ในปี 2560 บริษัทมีแผนการลงทุน และพัฒนาโครงการใหม่ประมาณ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท โดยจะพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ได้แก่ ทำเล วงแหวนบางใหญ่ บนพื้นที่ 90 ไร่ ซึ่งจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส มูลค่า 2,000 ล้านบาท ทำเลอัสสัมชัญ ศรีราชา เป็นทาวน์เฮาส์ มูลค่า 1,000 ล้านบาท ทำเลพัทยา เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่า 1,000 ล้านบาท และยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งเปิดขายในต้นปีหน้า จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแกรนด์สาทร มูลค่า 610 ล้านบาท และโครงการ เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง 687 ล้านบาท
ปี 2560 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายรายได้ 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ลดลงจากปีนี้ที่ 4,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่เพียงพอแล้ว และตั้งเป้าตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท
สำหรับในไตรมาส 4 บริษัทได้เปิดขาย 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เจ คอนโด พระราม 2 สูง 8 ชั้น จำนวน 158 ยูนิต มูลค่า 265 ล้านบาท โครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ เป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น จำนวน 133 ยูนิต มูลค่า 610 ล้านบาท โครงการ เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง เป็นโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 10 ไร่ โดยจะเปิดเฟสแรกในปี 2560 มูลค่า 687 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถรับรู้รายได้ 1,700 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 30% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงผันผวน อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้ 4,000 ล้านบาท แต่คาดว่าจะทำได้แค่ 3,200 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมีแบ็กล็อกที่ 5,600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ช่วงปลายปีนี้ 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 3,600 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ถึงปี 2561 และมียอดขายในช่วง 10 เดือนที่ 2,800 ล้านบาท