xs
xsm
sm
md
lg

อีไอซีแนะจับตากลุ่มพลังงาน ร่วงหรือรุ่ง...ในยุคทรัมป์?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


EIC ชี้ชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ ทรัมป์ สนับสนุนธุรกิจน้ำมันที่ได้จากฟอสซิล โดยมีเป้าหมายต้องการให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน และมีพลังงานเพียงพอใช้ในประเทศ ในทางกลับกัน ธุรกิจพลังงานทดแทนมีความเสี่ยง เพราะทรัมป์ ผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม และลดความสำคัญในธุรกิจพลังงานทดแทน

อีไอซี มองว่า นโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันของทรัมป์ จะเป็นโอกาสของธุรกิจสำรวจขุดเจาะน้ำมัน และธุรกิจปิโตรเคมีไทยที่จะเข้าไปขยายการลงทุนในสหรัฐฯ แต่ยังต้องระวังความเสี่ยงด้านกฎระเบียบการลงทุนจากต่างประเทศ สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทนในสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวจึงเป็นความเสี่ยงให้แก่ผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วน เช่น แผงโซลาร์ ไปสหรัฐฯ ที่ต้องหาตลาดทดแทน

ขณะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากปัจจัยกดดันด้านอุปทานน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากกิจกรรมสำรวจขุดเจาะในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หากสหรัฐฯ กลับมาพิจารณาเรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น อีไอซีประเมินราคาน้ำมันในปี 2017 จะอยู่ที่ระดับราว 52 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ส่วนธุรกิจน้ำมันมีแนวโน้มสดใส เนื่องจากนโยบายของทรัมป์ สนับสนุนการลงทุน และการจ้างงานในธุรกิจน้ำมัน มุ่งสู่เป้าหมายให้สหรัฐฯ เป็นประเทศที่พึ่งพาตัวเองด้านพลังงาน นโยบายสำคัญที่จะช่วยผลักดันการลงทุนในธุรกิจน้ำมัน ได้แก่ 1) การเพิ่มพื้นที่ขุดเจาะน้ำมันในที่ดินของรัฐบาลกลาง (federal land) ทั้งบนบก ในทะเล บริเวณอ่าวเม็กซิโก และมหาสมุทรอาร์กติก ซึ่งสหรัฐฯ มีทรัพยากรน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่ยังไม่ได้ขุดเจาะออกมาสูงที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่าสูงถึงราว 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 2) การขอใบอนุญาตขุดเจาะน้ำมันในที่ดินของรัฐบาลกลางจะรวดเร็วขึ้น จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาสูงถึง 300 วัน ทำให้ผู้ผลิตน้ำมันส่วนใหญ่หันไปเช่าที่ดินเอกชน หรือที่ดินของรัฐแทน ซึ่งใช้เวลาขอใบอนุญาตสั้นกว่ามาก เช่น ใน Texas ใช้เวลาเพียง 2-4 วันทำการเท่านั้น และ 3) การปฏิรูปภาษีในธุรกิจน้ำมัน เช่น การนำ Intangible Drilling Cost (IDC) มาลดหย่อนภาษีได้ นโยบายดังกล่าวจะเป็นแรงจูงใจให้ธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมันขยายการลงทุน มีต้นทุนที่ถูกลง และสร้างงานในธุรกิจน้ำมันได้ราว 5 แสนตำแหน่ง ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเพิ่มขึ้น และมีโอกาสที่สหรัฐฯ จะเปลี่ยนจากผู้นำเข้ากลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิภายในปี 2023 เร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ปี 2028

นอกจากนี้ การสำรวจขุดเจาะ tight oil และ shale gas ในสหรัฐฯ มีโอกาสเติบโต เมื่อสถานการณ์ราคาน้ำมันดีขึ้น ส่งผลให้อุปทานน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติสูงขึ้นด้วย สหรัฐฯ มี tight oil และ shale gas จำนวนมหาศาลซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้เปลือกโลกราว 1.5-3 กิโลเมตร ทำให้ต้องใช้เทคโนโลยีการขุดเจาะที่ทันสมัย และมีต้นทุนสูง เรียกว่า Hydraulic Fracturing หรือ Fracking ซึ่งได้รับการต่อต้านเพราะทำให้เกิดการเจือปนของสารพิษในน้ำใต้ดิน ส่งผลต่อคุณภาพ และความสะอาดของน้ำดื่ม อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ จะดำเนินมาตรการสนับสนุนการขุดเจาะแบบ Fracking ซึ่งอีไอซีมองว่า ด้วยสถานการณ์ราคาน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำในปัจจุบัน กิจกรรมการขุดเจาะ tight oil และ shale gas จะยังทรงตัว แต่จะกลับมาเติบโตอีกครั้งเมื่อราคาน้ำมันดิบสูงกว่า 55 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นจุดคุ้มทุนเฉลี่ยของผู้ผลิต
 
ส่วนการเร่งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เช่น ท่อส่งน้ำมัน ส่งผลดีด้านวัตถุดิบต่อธุรกิจโรงกลั่นในสหรัฐฯ ทรัมป์ ประกาศว่าจะเร่งการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานต่างๆ เพื่อผลักดันการลงทุนภาคเอกชน และการจ้างงาน เช่น การก่อสร้างโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL ยาว 1,900 กิโลเมตร จากรัฐ Alberta ในแคนาดา มายังรัฐ Nebraska ในสหรัฐฯ ซึ่งโอบามาได้ยับยั้งโครงการนี้ไปในปี 2015 จากความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมเพราะการผลิต และกลั่น oil sand ที่ได้จากแคนาดา จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันดิบชนิดอื่น อย่างไรก็ตาม โครงการนี้จะกลับมาดำเนินการได้อีกครั้งภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ซึ่งจะลำเลียงน้ำมันจากแคนาดา มาเชื่อมต่อระบบท่อส่งน้ำมันที่มีอยู่ ส่งลงมายังโรงกลั่นที่กระจุกตัวบริเวณแถบ Mid-West และอ่าวเม็กซิโก ทำให้โรงกลั่นลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศในตะวันออกกลางที่มีอุปทานน้ำมันค่อนข้างอ่อนไหวต่อประเด็นทางการเมือง ทั้งนี้ คาดว่าโครงการ Keystone XL จะทำให้ GDP ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างงานได้ 9,000 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ หากทรัมป์ ตัดสินใจกลับมาคว่ำบาตรอิหร่านเรื่องโครงการนิวเคลียร์อีกครั้ง จะทำให้ราคาน้ำมันทะยานสูงขึ้น ภายหลังจากที่อิหร่านซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม OPEC ได้รับการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรจากกลุ่ม P5+1 (สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี และรัสเซีย) ในปี 2015 อิหร่าน ได้เร่งผลิตน้ำมันให้ได้ปริมาณเท่ากับช่วงก่อนโดนคว่ำบาตรที่ระดับ 4 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ซึ่งในช่วงที่ยังมีความเสี่ยงว่าทรัมป์ จะนำเรื่องอิหร่านกลับมาพิจารณาหรือไม่นี้ คาดว่าอิหร่านจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันออกมาอีก และไม่ยอมเข้าร่วมกับกลุ่ม OPEC ในการกำหนดเพดานการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน หากในที่สุด ทรัมป์ ตัดสินใจดำเนินมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านซึ่งเป็นอำนาจของประธานาธิบดีที่สามารถกระทำได้ จะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในระยะสั้นจากปัจจัยความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการตึงตัวของอุปทานราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน เพราะอิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันได้ในบางตลาด

ในขณะเดียวกัน ธุรกิจพลังงานทดแทนมีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากทรัมป์ อาจยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่สนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ผลิตในสหรัฐฯ และผู้ส่งออกอุปกรณ์ผลิตพลังงานทดแทน ทรัมป์ โจมตีการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ และพลังลมว่ามีต้นทุนแพง ดังนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าทรัมป์ จะยกเลิกนโยบายที่สนับสนุนธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น แผนพลังงานสะอาด (Clear Power Plan) ที่จำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม นโยบายที่ผ่านสภาคองเกรสไปแล้ว เช่น การให้ production tax credit (PTC) จำนวน 23 ดอลลาร์สหรัฐ/เมกะวัตต์ชั่วโมง แก่ผู้ผลิตพลังงานลม และ investment tax credit (ITC) 30% ของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ น่าจะยังดำเนินได้ต่อไปเพราะได้รับการสนับสนุนจากทั้งพรรครีพับลิกัน และเดโมแครต ซึ่งเดิมมาตรการดังกล่าวได้ทำให้การลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนในสหรัฐฯ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่น การให้ ITC ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2006 ทำให้การติดตั้งแผงโซลาร์ในสหรัฐฯ เติบโตถึง 76% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม การลดการสนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทนของทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ ให้มีต้นทุนสูงขึ้น หลังจากที่นโยบาย PTC และ ITC หมดอายุลงตามแผนในปี 2019 และ 2023 ตามลำดับ รวมไปถึงผู้ผลิตในเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกหลักของแผงโซลาร์ และอินเวอร์เตอร์ ที่ใช้ในระบบการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ จะมีความสามารถในการแข่งขันลดลง เนื่องจากทรัมป์ อาจเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวให้สูงถึง 30-45% จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 5-11% คาดว่าในอีก 4-8 ปีข้างหน้า อัตราการขยายตัวของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงเหลือราวปีละ 2% โดยเฉลี่ย จากเดิมขยายตัวที่ราว 24%

“อีไอซีมองว่า ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากอุปทานน้ำมันที่จะสูงขึ้นอีกมากในสหรัฐฯ ในระยะกลางราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน และเศรษฐกิจโลก การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในระยะสั้นยังค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการลงทุนขุดเจาะน้ำมันที่ได้รับแรงกระตุ้นจากนโยบายของทรัมป์ จะยิ่งทำให้อุปทานน้ำมันล้นตลาดมากขึ้นอีก เว้นแต่ว่าจะมีเรื่องการคว่ำบาตรอิหร่านที่จะทำให้ราคาน้ำมันทะยานสูงขึ้นได้ ในระยะกลาง คาดว่าราคาน้ำมันจะค่อยๆ ปรับระดับสูงขึ้น จากปัจจัยด้านอุปสงค์น้ำมันที่เร่งขึ้นมาทันกับอุปทาน โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดภาษี นโยบายสนับสุนนภาคธุรกิจ การใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สนามบิน รวมถึงการผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของทรัมป์ จะผลักดันให้มีความต้องการใช้น้ำมันสูงขึ้น ทั้งนี้ อีไอซีประเมินราคาน้ำมันในปี 2017 จะอยู่ที่ระดับราว 52 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล”

ขณะที่ธุรกิจสำรวจขุดเจาะน้ำมันไทยมีโอกาสขยายการลงทุนในสหรัฐฯ แต่ต้องระวังความเสี่ยงเรื่องกฎระเบียบการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ นโยบายด้านพลังงานของทรัมป์ สนับสนุนให้มีการสำรวจขุดเจาะทรัพยากรน้ำมันในประเทศที่มีปริมาณมหาศาล จึงเป็นโอกาสของบริษัทสำรวจและผลิตน้ำมันที่จะขยายการลงทุนในสหรัฐฯ นอกจากนี้ อุปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่จะเพิ่มสูงขึ้นมากเป็นผลดีต่อธุรกิจปิโตรเคมีไทยที่จะเข้าไปตั้งโรงผลิตในสหรัฐฯ เพื่อชิงความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ และต้นทุน อีไอซีมองว่า การทำ M&A กับบริษัทในสหรัฐฯ เป็นทางเลือกที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องกฎเกณฑ์ด้าน FDI ที่อาจเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ที่เน้นการดำเนินนโยบายแบบปกป้อง และชาตินิยม

ทั้งนี้ ในระยะสั้นราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ ธุรกิจไทยที่ได้รับอานิสงส์ ได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่น สายการบิน และลอจิสติกส์ ในภาพรวม ไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ และครัวเรือนจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำเข้า และบริโภคน้ำมัน ในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบจะมีความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น สำหรับธุรกิจที่มีต้นทุนน้ำมันเป็นสัดส่วนใหญ่ เช่น โรงกลั่น สายการบิน และลอจิสติกส์ จะได้รับอานิสงส์จากต้นทุนที่อยู่ในระดับต่ำ และไม่ผันผวนมากนัก อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนในภาคเกษตรจะได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันในระยะสั้น

ด้านธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่อพลังงานทดแทน ในสหรัฐฯ มีความเสี่ยง ควรมองหาตลาดอื่นที่เน้นสินค้าพรีเมียม เช่น ธุรกิจไทยที่ผลิตแผงโซลาร์เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ นอกจากจะได้รับผลกระทบจากธุรกิจพลังงานทดแทนในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัว ยังอาจได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายปกป้องทางการค้า ดังนั้น ผู้ผลิตควรมองหาตลาดอื่นที่เน้นสินค้าที่มีคุณภาพสูงทดแทนตลาดสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น หรือยุโรป
กำลังโหลดความคิดเห็น