“ฐิติกร” ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปี 2560 คาดโตไม่น้อยกว่า 5% เหตุรัฐอัดฉีดนโยบายโครงสร้างพื้นฐานกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า แย้มแผนลงทุนจ่อทุ่มงบ 20 ล้านขยายธุรกิจสินเชื่อประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มประเทศ AEC
นายประพล พรประภา รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) กล่าวว่า บริษัทฯ ประมาณการพอร์ตสินเชื่อปี 2560 ไว้ว่าจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 5% ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะทำให้กำลังซื้อในทุกภาคส่วนดีขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องติดตามนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ หากมีการยกเลิกข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งการส่งออกมีสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับ GDP
นอกจากนี้ ในส่วนของแผนการลงทุนเพิ่มนั้น บริษัทฯ วางงบลงทุนรวมไว้ที่ 20 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขาในประเทศ 2-3 สาขา จากเดิมมีอยู่ 88 สาขา และในประเทศกัมพูชา อีก 3 สาขา จากเดิมมีอยู่ 3 สาขา
ขณะที่ผลประกอบการทั้งปีของปี 2559 บริษัทฯ ปรับเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อรวมคาดว่าจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 7% หรือ 7,750 ล้านบาท ซึ่งปรับลดจากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะเติบโตที่ 10% ขณะที่ปี 2558 นั้น บริษัทฯ มีพอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 7,252 ล้านบาท จากพอร์ตสินเชื่อรถยนต์ปรับตัวลดลง และมีการเร่งตัดหนี้สูญของรถจักรยานยนต์ หลังพบปัญหาการผ่อนชำระล่าช้ามากกว่า 3 เดือน
“ตลาดรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ในไตรมาส 4/59 มองว่าน่าจะเติบโตขึ้นได้เล็กน้อย โดยเฉพาะรถจักรยายนต์ที่น่าจะได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องด้วยมีราคาไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับรถยนต์ ขณะที่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รัฐบาลก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะส่งผลต่อกำลังซื้อปรับตัวดีขึ้น โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดจําหน่ายรถจักรยานยนต์ 9 เดือนแรก ในปี 2559 จํานวน 1,350,105 คัน เพิ่มขึ้น 4.4% จาก 1,293,465 คัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดจําหน่ายรถยนต์ 9 เดือนแรกในปี 2559 จํานวน 556,525 คัน เพิ่มขึ้น 0.49% จาก 553,832 คันจากช่วงเดียวกันของปีก่อน”
อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4% จากคุณภาพลูกหนี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/59 ที่มี NPL ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 4.9% จากไตรมาส 2/59 อยู่ที่ระดับ 5.3% อีกทั้งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือ NIM& ปีนี้น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 30% ปีหน้าก็น่าจะใกล้เคียงปีนี้