จากสภาวะตลาดของรถจักรยานยนต์ในปัจจุบันเริ่มเข้าใกล้จุดอิ่มตัว ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดสินเชื่อรถจักรยานยนต์มีความรุนแรงขึ้น โดยส่วนแบ่งการตลาดของผู้ประกอบการรายย่อย และตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ที่ให้บริการสินเชื่อมีสัดส่วนที่ลดลง ในขณะที่บริษัทสินเชื่อรายใหญ่กลับมีสัดส่วนที่สูงขึ้น ทั้งนี้ อีไอซี มองว่า บริษัทสินเชื่อรายย่อย รวมถึงตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ที่ให้บริการสินเชื่อควรมองหาโอกาส หรือแนวทางในการขยายธุรกิจ เช่น การทำธุรกิจในภาคบริการที่เกี่ยวข้องต่อเรถจักรยานยนต์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และผลักดันยอดขายให้แก่บริษัทในระยะนี้ที่ตลาดเติบโตช้า
ตลาดรถจักรยานยนต์กำลังก้าวเข้าสู่จุดอิ่มตัวส่งผลให้สภาวะการแข่งขันในตลาดสินเชื่อรถจักรยานยนต์มีความรุนแรงมากขึ้น จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก พบว่า หลังจากปี 2012 เป็นต้นมา ยอดจดทะเบียนของรถจักรยานยนต์เติบโตในอัตราที่ลดลง เฉลี่ยปีละ 1.9 คัน โดยปัจจุบันมียอดจดทะเบียนสะสมอยู่ที่ 20.3 ล้านคัน (ข้อมูล ณ มิถุนายน 2016) หรือมีการเติบโตอยู่แค่ราว 0.83% ด้วยสัดส่วนของรถจักรยานยนต์ต่อประชากรในระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มจะคงที่โดยครอบครัวที่มีสมาชิกประมาณ 3-4 คน จะมีรถจักรยานยนต์ประมาณ 1 คัน รวมถึงความต้องการซื้อรถจักรยานยนต์ของกลุ่มวัยรุ่นในปัจจุบันยังมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากส่วนใหญ่หันไปให้ความสนใจกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากกว่า นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดทวีความรุนแรงมากขึ้น มาจากการที่ธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ทั้งนี้ ด้วยสภาพการแข่งขันที่สูงเช่นนี้ ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องงัดกลยุทธ์ในการส่งเสริมการขายต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น การยกเว้นเงินต้น หรือการให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เป็นต้น กลยุทธ์ดังกล่าวนี้สอดคล้องต่อผลสำรวจของอีไอซีที่พบว่า การส่งเสริมการขายมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจเลือกซื้อรถจักรยานยนต์
อย่างไรก็ดี ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทสินเชื่อรถจักรยานยนต์รายย่อยรวมถึงตัวแทนจำหน่ายซึ่งเคยเป็นตลาดหลักในการให้สินเชื่อปรับตัวลดลงถึง 7% เป็นผลมาจากบริษัทสินเชื่อรายใหญ่เริ่มมีการควบรวมธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในท้องถิ่นมากขึ้น เช่น กรณีของบริษัท Group Lease ที่เข้าซื้อบริษัท ธนบรรณ จำกัด เมื่อปี 2014 ประกอบกับบริษัทสินเชื่อรายย่อยเองยังมีข้อจำกัดในการเพิ่มรายได้ อย่างการเปิด และขยายสาขาเพิ่มเติม เนื่องจากจำนวนบุคลากรเฉพาะทางที่คอยให้คำแนะนำยังมีไม่เพียงพอ ตลอดจนฐานข้อมูลลูกค้ายังอยู่ในวงจำกัด ทำให้เสียโอกาสในการขยายช่องทางการให้บริการที่กว้างขึ้น ในขณะที่บริษัทสินเชื่อรายใหญ่ซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 7.5 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 38% ของมูลค่าตลาดสินเชื่อรถจักรยานยนต์ทั้งหมด กลับมีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นถึง 11% เนื่องจากมีข้อได้เปรียบในด้านต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำ และยังมีความชำนาญในการบริหารหน่วยงานที่มากกว่า อีกทั้งยังมีการมองหาแนวทางในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV ตลอดจนยังมีการเสนอบริการสินเชื่อด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ไมโครไฟแนนซ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ผลสำรวจของอีไอซีพบว่า จำนวนเกินกว่าครึ่งของกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้มีรายได้มากกว่า 15,000 บาท มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้บริษัทสินเชื่อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ในการชำระเงินมากขึ้นในอนาคต และกว่า 40% ของลูกค้าที่มีความต้องการซื้อรถจักรยานยนต์ภายใน 6 เดือนข้างหน้า ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้บริการจากบริษัทสินเชื่อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากการให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ รวมทั้งบริษัทสินเชื่อรายใหญ่ส่วนมากยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในแต่ละท้องถิ่น ทำให้เป็นที่รู้จัก และคุ้นเคยมากกว่า ในขณะที่ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ยังมีแนวโน้มที่จะขอสินเชื่อจากตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์มากกว่า เนื่องจากการกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อจะไม่เข้มงวดนัก อีกทั้งบางร้านยังมีการยกเว้นเงินต้นอีกด้วย ทั้งนี้ อีไอซีมองว่าการตัดสินใจของผู้ซื้อส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยหากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวอยู่ กำลังซื้อ และความมั่นใจของลูกค้าที่มีรายได้น้อยจะมีการปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังยอดขายของตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ รวมถึงยังมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดหนี้เสียเพิ่มมากขึ้นด้วย ในขณะที่บริษัทสินเชื่อรายใหญ่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจน้อยกว่า เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่มาจากกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งมีฐานะการเงิน และอาชีพการงานที่ค่อนข้างมั่นคงกว่า
อย่างไรก็ดี อีไอซีแนะบริษัทสินเชื่อรายย่อย รวมถึงตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ที่ให้บริการสินเชื่อมองหาโอกาส และแนวทางในการเพิ่มรายได้ในธุรกิจใหม่ๆ โดยบริษัทสินเชื่อรายย่อยสามารถสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับคู่แข่งเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน รวมถึงส่วนแบ่งการตลาดที่จะโตขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการหาแหล่งเงินทุนให้แก่ตนเองเพื่อที่จะขยายธุรกิจและสาขาของบริษัทสินเชื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การบริหารและวิจัยความเสี่ยง รวมถึงการบริหารจัดการภายในองค์กรเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในขณะที่ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ที่ให้บริการสินเชื่อสามารถลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจโดยการสร้างพันธมิตรกับบริษัทสินเชื่อรายย่อย หรือรายใหญ่เพื่อให้บริหารจัดการในด้านสินเชื่อแทน อีกทั้งอาจจะมีวางแนวทางในการที่จะเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจไปเป็นภาคบริการที่เกี่ยวข้องต่อรถจักรยานยนต์ให้มากขึ้น เช่น ร้านรับซ่อมเครื่องยนต์ ร้านขายอุปกรณ์ตกแต่ง หรืออะไหล่ของรถจักรยานยนต์