พูสีก่อสร้างและพัฒนา ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองหลักทรัพย์ เสนอขายไอพีโอ จำนวน 150 ล้านหุ้น คาดได้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านกีบ (ประมาณ 120 ล้านบาท) โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปจัดซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ สำหรับงานก่อสร้าง วิจัยค้นคว้าและพัฒนา ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานก่อสร้าง และบางส่วนนำไปชำระคืนเงินกู้
นายสีทอง พรหมมะจิต ประธานสภาบริหาร บริษัท พูสีก่อสร้างและพัฒนา มหาชน (PCD) หนึ่งในผู้นำการให้บริการงานวิศวกรรมการก่อสร้างแบบครบวงจร (Design and EPC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองหลักทรัพย์ (สคคซ.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2,000 กีบ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 700,000 ล้านกีบ (ประมาณ 2,800 ล้านบาท) และภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลาว (LSX) บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 1,000,000 ล้านกีบ (ประมาณ 4,000 ล้านบาท)
ขณะที่การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชน (IPO) จะมีการกำหนดราคาเมื่อทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองหลักทรัพย์ (สคคซ.) อนุมัติให้บริษัท พูสีก่อสร้างและพัฒนา มหาชน เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยอนาคต บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายขึ้นมาเป็นผู้นำงานด้านการก่อสร้าง และพัฒนาภายในประเทศ และจะขยายธุรกิจไปถึงเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอีกด้วย
“บริษัทฯ คาดว่าจะได้เงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านกีบ (ประมาณ 1,200 ล้านบาท) และจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปจัดซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ สำหรับงานก่อสร้าง 166,000 ล้านกีบ (ประมาณ 664 ล้านบาท) วิจัยค้นคว้าและพัฒนา (Research and Development) ประมาณ 38,000 ล้านกีบ (ประมาณ 152 ล้านบาท) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานก่อสร้าง 388,000 ล้านกีบ (ประมาณ 1552 ล้านบาท) บางส่วนนำไปชำระคืนเงินกู้ในนามบริษัท หรือในนามบุคคลที่เกี่ยวพัน 77,000 ล้านกีบ (ประมาณ 308 ล้านบาท) ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 155,000 ล้านกีบ (ประมาณ 620 ล้านบาท)” นายสีทอง กล่าว
นางสาวพิไลพร วงประเสริฐ ผู้อำนวยการ บริษัท พูสีก่อสร้างและพัฒนา มหาชน (PCD) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการที่ได้ลงนามเซ็นสัญญา และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 3 โครงการ มูลค่ารวม 840,121 ล้านกีบ (ประมาณ 3,360.48 ล้านบาท) แบ่งเป็นโครงการก่อสร้างถนนลาดยางมะตอย 2 ชั้น เส้นทางเลขที่ 2501 ระยะทาง 50.20 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 343,615 ล้านกีบ (ประมาณ 1,374.46 ล้านบาท) อายุสัญญาปี 2013-2016 (ต่ออายุสัญญาถึงปี 2019) โครงการก่อสร้างทางยกระดับเส้นทางเลขที่ 3503 ระยะทาง 50.02 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 80,881 ล้านกีบ (ประมาณ 323.52 ล้านบาท) อายุสัญญาปี 2013-2015 (ต่ออายุสัญญาถึงปี 2018) และโครงการก่อสร้างเส้นทางเลียบชายแดนลาว-เวียดนาม-กัมพูชา ระยะทาง 225 กิโลเมตร มูลค่าสัญญา 415,625 ล้านกีบ (ประมาณ 1,662.50 ล้านบาท)
“ปัจจุบัน บริษัทฯ มีมูลค่างานทั้งหมด (Backlog) จำนวน 840,121 ล้านกีบ (ประมาณ 3,360.48 ล้านบาท รับรู้รายได้ไปแล้ว จำนวน 446,585 ล้านกีบ (ประมาณ 1,786.34 ล้านบาท) คงเหลือ 393,536 ล้านกีบ (ประมาณ 1,574.14 ล้านบาท) และบริษัทฯ ยังมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการสำรวจออกแบบเพื่อเตรียมการประมูล และเซ็นสัญญาในปี 2016 มูลค่ารวมประมาณ 1,276,355 ล้านกีบ (ประมาณ 5,105.42 ล้านบาท) ซึ่งบริษัทฯ มีทีมงานที่มีความรู้ความสามารถ มีเทคนิคงานด้านวิศวกรรมการก่อสร้าง และเทคโนโลยีก่อสร้างที่ทันสมัย และรักษาคุณภาพมาตราฐานในการทำงานได้เป็นอย่างดี รวมถึงส่งมอบงานได้ทันเวลา ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี และทำให้บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นางสาวพิไลพร กล่าว
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ เอพีเอ็มลาว จำกัด (APMLAO) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท พูสีก่อสร้างและพัฒนา มหาชน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ย้อนหลัง 3 ปี และ 6 เดือนแรกของปี 2016 ดังนี้ ปี 2013 มีรายได้รวม 118,101 ล้านกีบ (ประมาณ 472.40 ล้านบาท) กำไรสุทธิ 38,559 ล้านกีบ (ประมาณ 154.23 ล้านบาท) ปี 2014 มีรายได้รวม 93,266 ล้านกีบ (ประมาณ 373.06 ล้านบาท) กำไรสุทธิ 72,685 ล้านกีบ (ประมาณ 290.74 ล้านบาท) ปี 2015 มีรายได้รวม 144,629 ล้านกีบ (ประมาณ 578.51 ล้านบาท) กำไรสุทธิ 68,079 ล้านกีบ (ประมาณ 272.31 ล้านบาท)
“สปป.ลาว เป็นประเทศตั้งอยู่ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีชายแดนติดกับ 5 ประเทศเพื่อนบ้าน และไม่มีชายแดนติดกับทะเล การคมนาคมขนส่งสินค้า หรือการค้าส่วนใหญ่ จึงเน้นทางบก ดังนั้น การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกัน การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของ สปป.ลาว ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา คือ ตั้งแต่ปี 2013-2015 ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอยู่ร้อยละ 8.0, 7.8 และ 7.40 ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น เชื่อว่าบริษัทฯ ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก และเมื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลาว จะยิ่งทำให้บริษัทฯ มีฐานทุนที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น รวมไปถึงความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ที่ดี เชื่อว่า PCD จะเป็นหุ้นที่ขวัญใจของตลาดหลักทรัพย์ลาว อย่างแน่นอน” นายสมภพ กล่าว