“อาฟเตอร์ ยู” ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 240 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ เผยเตรียมนำเงินระดมทุนใช้ขยายธุรกิจของบริษัท คืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บมจ.อาฟเตอร์ ยู ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2559 เนื่องจากบริษัทฯ มีความต้องการจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 240 ล้านหุ้น และมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับรายละเอียดการเสนอขาย ดังนี้ 1.หุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 236,500,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชน (IPO) อนึ่ง การจัดสรรดังกล่าวให้รวมถึงการเสนอขายให้แก่ นายธีรพงษ์ จันศิริ และนายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ผู้ให้กู้ของบริษัทฯ และ/หรือบุคคลอื่นที่นายธีรพงษ์ จันศิริ และนายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ มอบสิทธิให้ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญากู้เงิน
2.หุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 1,500,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่กรรมการของบริษัทฯ โดยราคาเสนอขายจะเป็นราคาเดียวกันกับราคาที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชน
3.หุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 2,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัทฯ ตามโครงการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ให้แก่ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัทฯ (ESOP)
วัตถุประสงค์การใช้เงินเพื่อใช้ขยายธุรกิจของบริษัท เช่น ขยายสาขาในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดตามแผนงานที่ได้ตั้งไว้ เพื่อให้สอดคล้องต่อการเติบโตของภาวะอุตสาหกรรม ขยายกำลังการผลิต พร้อมกับขยายสายการผลิตในกลุ่มขนมหวาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มมาตรฐานและประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนการผลิตโดยนำเครื่องจักรและอุปกรณ์มาใช้ในโรงงานผลิตแห่งใหม่มากขึ้น เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการผลิตสินค้า ติดตั้งและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องต่อการปฏิบัติงานให้ทันสมัย รวมทั้งการติดตั้งและพัฒนาระบบจัดการบัญชีแบบครบวงจร เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถรองรับการขยายตัวของบริษัทฯ ในอนาคต สร้างศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน และศูนย์กระจายสินค้า เนื่องจากศูนย์ฝึกอบรมพนักงานมีความจำเป็นต่อการขยายธุรกิจ และสร้างมาตรฐานให้แก่งานบริการเป็นอย่างมาก และศูนย์กระจายสินค้าสามารถลดต้นทุนในการบริหารจัดการวัตถุดิบในอีกหลายส่วน นอกจากนี้ ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
บมจ.อาฟเตอร์ ยู ประกอบธุรกิจจำหน่ายขนมหวาน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ร้านขนมหวาน และบริการจัดงานนอกสถานที่ และรับจ้างผลิต และมีบริษัทย่อย 1 บริษัท คือ บริษัท ออรั่ม แอนด์ ออรั่ม จำกัด ดำเนินธุรกิจซื้อขาย นำเข้าวัตถุดิบ และอุปกรณ์ในการผลิต ทั้งนี้ ธุรกิจร้านขนมหวานมีร้านอาฟเตอร์ ยู และร้านเมโกริ
โครงการในอนาคตของบริษัทฯ ในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี มีดังนี้ 1.โครงการขยายสาขาร้านขนมหวานสู่หัวเมืองหลักของไทย โดยบริษัทฯ จะดำเนินการคัดเลือกทำเล และพื้นที่อย่างรอบคอบ เพื่อขยายสาขาร้านขนมหวานของบริษัทฯ โดยมีเป้าหมายให้บริการแก่ผู้บริโภคในประเทศไทยทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ และมีกำลังซื้อสูง รวมทั้งสิ้น 25-30 สาขา ภายในปี 2561
2.โครงการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า และขยายสายผลิตภัณฑ์สินค้า รวมถึงการขยายธุรกิจสู่ประเทศอื่นในภูมิภาค บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมโดยการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายสาขาของบริษัทฯ ในอนาคต โดยบริษัทไม่เพียงแต่จะขยายธุรกิจเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ยังแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะประเมินโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ
3.โครงการก่อสร้างสำนักงานใหม่ และศูนย์กระจายสินค้า บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจขนมหวาน และเบเกอรี่แบบครบวงจร โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะก่อสร้างสำนักงานแห่งใหม่ที่เขตสวนหลวง ใช้เป็นสำนักงานของบริษัทฯ สถานที่ฝึกอบรมพนักงาน และศูนย์กระจายสินค้า คาดว่าจะใช้งบประมาณก่อสร้าง 60-70 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จ มิ.ย.2560
4.โครงการลดต้นทุนการผลิต และดำเนินงาน และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องต่อการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ และรองรับการเติบโตของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการผลิตในโรงงานผลิต ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมสินสาคร จังหวัดสมุทรสาคร
ผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนสิ้นสุด 31 มี.ค.2559 มีสินทรัพย์รวม 386 ล้านบาท หนี้สินรวม 299.4 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 86.6 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 138.8 ล้านบาท และกำไร 26.1 ล้านบาท
ณ วันที่ 25 เม.ย.2559 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท แบ่งเป็น 800 ล้านหุ้น โดยมีทุนชำระแล้ว 56 ล้านบาท แบ่งเป็น 560 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.1 บาท
ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียน และเรียกชำระแล้ว 80 ล้านบาท แบ่งเป็น 800 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.1 บาท โดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 พ.ค.2559 คือ กลุ่ม น.ส.กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ ถือหุ้น 308 ล้านหุ้น คิดเป็น 55% ภายหลังเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 38.5% รองลงมาเป็นกลุ่ม นายแม่ทัพ ต.สุวรรณ ถือหุ้น 252 ล้านหุ้น คิดเป็น 45% ภายหลังเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 31.5%
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และข้อบังคับของบริษัทฯ