บล.ทรีนิตี้ แนะนักลงทุนจับตาทิศทางการลงทุนของตลาดหุ้นต่างประเทศ ก่อนเลือกจังหวะลงทุน หลังประกาศผลการเลือกตั้งประประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ฉีกทุกโพลที่คาดหวังว่า นางฮิลลารีจะได้รับคัดเลือก ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน และอาจกระทบต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่
นายณัฐชาต เมฑมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงกรณีที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 45 ได้นั้น ถือเป็นเรื่องผิดความคาดหมายของบริษัท และตลาดอย่างมาก และมองกรณีนี้แย่ที่สุด เนื่องจากการออกกฎหมายต่างๆ ที่เห็นชอบโดยนายทรัมป์ จะดำเนินการได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งกฎหมายแรกๆ ที่คาดว่าจะผลักดันออกมาโดยเร็ว คือ การปรับลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% และการปรับลดภาษีเงินโอนกลับสู่ประเทศลดลงเหลือ 10% รวมถึงนโยบายที่จะเน้นการสร้างงานในประเทศ และการกีดกันทางการค้าต่างๆ ซึ่งมองว่าจะเป็นนโยบายที่เป็นผลลบต่อประเทศเกิดใหม่ในเชิงของกิจกรรมทางการค้า และตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในระยะสั้น ตลาดหุ้น และค้าเงินของประเทศเกิดใหม่จะปรับตัวลดลง (Uderperform) มากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ แต่ข้อได้เปรียบของตลาดหุ้นไทย คือ ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยในระดับต่ำมากแล้ว ดังนั้น เมื่อพิจารณาระยะสั้น กลาง ยาว จึงไม่เห็นผลกระทบมากนัก ทั้งนี้ เมื่อประเมิน Downside ของดัชนีจะไม่รุนแรงเท่ากับช่วงที่เกิดเหตุการณ์ในประเทศ เนื่องจากเพียงแค่การขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างเดียว จะไม่มีนัยสำคัญเท่ากับกรณีแรงขายที่เกิดขึ้นของนักทุนในประเทศพร้อมกัน โดยประเมินดัชนีในช่วงที่เหลือของปีอยู่ที่ 1,430-1,450 จุด จากเดิมที่ 1,500 จุด ซึ่งประเมินว่า หากดัชนีลงไประดับนี้จริง มองเป็นจุดเพิ่มน้ำหนักการลงทุนที่สำคัญ
สำหรับมุมมองที่มีต่อตลาดหุ้นไทย มองว่าหุ้นขนาดใหญ่มีโอกาสกลับมา Underperform ตลาดไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากการคาดการณ์กระแสเงินทุนไหลเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญแล้ว และมองว่ายังมีปัจจัยกดดันเงินทุนไหลเข้าเพิ่มจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ด้านแรงซื้อกองทุน LTF/RMF ในช่วงสุดท้ายของปีนี้ มองว่าคงไม่กระทบต่อดัชนีอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากความต้องการของนักลงทุนที่อาจลดลงจากระยะเวลาการถือครองที่นานมากขึ้น และระดับ Valuation ของตลาดที่สูงขึ้น รวมถึงการที่นักลงทุนสถาบันอาจเก็บเงินสดไว้บางส่วน เพื่อรองรับการไถ่ถอนกองทุน LTF ที่จะครบกำหนดอายุในช่วงต้นปีหน้า
ส่วนปัจจัยเสี่ยงล่าสุด คือ การปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงของ Bond yield สหรัฐฯ หลังจากที่นายทรัมป์ ได้รับชัยชนะ ซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้ เนื่องจากทรัมป์ มีนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายทางการคลังในระดับสูง และจะทำให้ต้องออกพันธบัตรอย่างมาก โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาวในช่วงถัดไป ล่าสุด Bond yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวมากอยู่ที่ระดับ 2% แล้ว ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถือเป็นปัจจัยกดดันดัชนีในมิติ Earning yield gap ซึ่งล่าสุด บริษัทคำนวณระดับดัชนีที่เหมาะสมจากโมเดลไว้เพียง 1,450 จุด ส่วนปีหน้า มองไว้ที่ 1,580 จุด แต่ในส่วนของผลตอบแทนอาจไม่ดีเท่าปีนี้
ด้านของผู้ที่มีหุ้นอยู่ในระดับสูง อาจต้องพิจารณาลดพอร์ตลงมาบางส่วน โดยอาจเลือกขายหุ้นขนาดใหญ่เป็นลำดับแรก แนะนำจังหวะให้ดัชนีย่อตัวลงมาก่อน จึงค่อยทยอยสะสมหุ้นรอบใหม่ มองกรอบแนวรับที่น่าสนใจอยู่ที่ 1,450 จุด คาดหุ้นขนาดกลาง-เล็ก จะกลับมาลดลงต่ำลงอีกครั้ง โดยมองธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะผันผวนน้อยกว่าตลาด เช่น BPP GPSC TPCH กลุ่มก่อสร้าง เช่น SEAFCO และกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก CLMV เช่น ALT GL