ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ทรีนิตี้คาด SET Index เดือนเมษายน แกว่งตัวในกรอบแคบเพียง 1,550 ถึง 1,600 จุด เหตุมีวันหยุดต่อเนื่องติดกันหลายวันแนะนักลงทุน เลือกลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธุรกิจการเกษตร นักวิเคราะห์ประเมินไตรมาส 2/60 หุ้นรายตัวแกร่งรับอานิสงส์บาทแข็งเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับ
นายณัฐชาติ เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนเมษายน จากแก่วงตัวในกรอบแคบที่ 1,550-1,600 จุด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ กระแสเงินทุนที่น่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อไปหลังจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากตัวเลขภาคการผลิตที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งทำให้การบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานปิโตรเคมี และธุรกิจการเกษตร นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาจนมีระดับราคาจำกัด ซึ่งคาดการณ์ว่าที่ประชุมโอเปก (OPEC) ในเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีการขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตต่อเนื่องออกไปอีก
ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ เตือนนักลงทุนว่า Forward P/E ตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในระดับ +1 SD จากค่าเฉลี่ย ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเกิดใหม่อื่นๆ อีกทั้งการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่ยังคงเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องติดตามว่า จะมีการปรับลดต่อไปอีกหรือไม่ นอกจากนี้ ในส่วนของการบริโภคภายในประเทศที่เริ่มจะชะลอตัวลง รวมไปถึงการลงทุนภาครัฐในหลายหลายโครงการที่ถูกเลื่อนออกไป
พร้อมแนะนำนักลงทุนควรพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก เน้นหุ้นที่ได้รับอานิสงส์สนับสนุนจากปัจจัยบวกที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ได้แก่ หุ้นในกลุ่มโภคภัณฑ์ เช่น PTTEP, STA หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ที่มีกำลังการผลิตอยู่ในช่วงขาขึ้น ได้แก่ VNT, AJ และหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายส่งเสริมการลงทุนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ ECC ได้แก่ AMATA, ROJNA, WHA
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ระบุแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน เม.ย. ดูผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ยังไหลเข้าหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ก่อนปิดไตรมาสแรก ลดแรงกดดันความกังวลต่างชาติทิ้งหุ้น ขณะค่าเงินบาทส่งสัญญาณแข็งค่า สวนทางกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าจากความกังวลเสถียรภาพการเมือง และมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐฯ เริ่มไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของทรัมป์ อาจจะเกิดความล่าช้า
บทวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่คาดผลประกอบการไตรมาส 1/60 ฟื้นตัวดี และเป็นหุ้นบิ๊กแคป โดยคาดว่าในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก กลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามา เนื่องจากเป็นกลุ่มแรกที่จะประกาศงบไตรมาสแรก ซึ่งคาดจะฟื้นตัวได้ดี และยังทำให้เป็นปัจจัยหนุนเชิงเซนติเมนต์ให้แก่หุ้นในกลุ่มอื่นๆ ตามมาด้วย อาทิ กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง
“สถิติย้อนหลังในช่วงหลายปีภายหลังเทศกาลสงกรานต์พบว่า ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาวิ่งขึ้นได้ในทุกๆ ปี จึงยังเชื่อว่า ดัชนีฯ มีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1,600 จุดได้ ส่วนหุ้นเด่นรายตัวที่มีงบไตรมาสแรกน่าสนใจ และมีโอกาสราคาหุ้นฟื้นตัวตามภาวะตลาด ได้แก่ TISCO, KTB, PTTEP, PTTGC, KCE, GLOBAL, CK และ CBG เป็นต้น”
ด้านนายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ ระบุแม้ว่าในเดือน เม.ย. จะมีวันหยุดยาวหลายวัน แต่ด้วยสถิติย้อนหลังไป 10 ปี พบว่าหุ้นไทยในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3% เขาบอกว่า ตลาดยังจับตางบไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนที่จะนำร่องโดยหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่จะคาดเห็นการฟื้นตัวจากสินเชื่อที่เติบโตได้เล็กน้อย แต่ระดับหนี้ NPL ไม่ได้สร้างปัญหาต่อการเพิ่มสำรอง จึงไม่กดดันความสามารถทำกำไร จึงมองว่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยชี้นำตลาดไปในทิศทางขาขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
“นักลงทุนควรจับตาว่ารัฐบาลจะประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาได้หรือไม่ ซึ่งหากประกาศได้ตามแผนในเดือน เม.ย. ก็น่าจะช่วยสร้างบรรยากาศลงทุนในทางบวก เพราะจะพอมองเห็นช่วงเวลาการเลือกตั้งให้มีรัฐบาลใหม่ได้ ส่วนปัจจัยต่างประเทศคงจะไม่ได้ให้น้ำหนักมากในช่วงระยะสั้น โดยเคที ซีมิโก้ คาดดัชนี SET น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,600 จุด และหุ้นที่จะปรับตัวขึ้น”