xs
xsm
sm
md
lg

เนอวานาฯ เผยแผนลงทุนปี 60 เปิด 6 โครงการ มูลค่ากว่าหมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ศรศักดิ์ สมวัฒนา
เนอวานาฯ เผยแผนลงทุนปี 60 เปิด 6 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นคอนโดฯ หรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ล่าสุด เปิดตัวโฮมออฟิต “เนอวานา แอทเวิร์ค รามอินทรา” เจาะกลุ่มลูกค้าบริษัทขนาดกลาง-เล็ก

นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัทในเครือบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ว่า บริษัทเตรียมพัฒนาโครงการใหม่ 5-6 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอมโดมินียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านเจริญนคร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 47 ชั้น มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท, โครงการโฮมออฟฟิส ย่านเกษตร-นวมินทร์ มูลค่า 1,200 ล้านบาท

โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ทำเลกรุงเทพกรีฑา จำนวน 2 โครงการ ที่แบ่งการพัฒนาเป็น 2 โครงการ โครงการละ 20 ไร่ มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 2 โครงการอยู่ระหว่างหาซื้อที่ดิน โดยคาดว่าจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ “ไอคอน” และ “เนอวานา อินโทร” เน้นเจาะกลุ่มระดับกลางบนราคา 9-15 ล้านบาท ซึ่งเป็นแบรนด์เก่านำกลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้งหลังจากที่หยุดพัฒนาไประยะหนึ่ง

สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการ “เนอวานา ดีไฟน์ พระราม 9” เป็นโครงการทาวน์โฮม มูลค่า 700 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายในเดือนธันวาคมนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมา เปิดตัวไปแล้ว 3 โครงการ ได้แก่ โครงการในทำเลพระราม 2 มูลค่า 3,000 ล้านบาท โครงการ “เนวานา ไอคอน ปิ่นเกล้า” เป็นโครงการบ้านเดี่ยวบนพื้นที่กว่า 18 ไร่ จำนวน 48 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาท

ล่าสุด โครงการเปิดตัวโครงการโฮมออฟิต “เนอวานา แอทเวิร์ค รามอินทรา” บนพื้นที่กว่า 9 ไร่ บริเวณรามอินทรา กม.2 เป็นโฮมออฟฟิศ สูง 4.5 ชั้น ขนาด 34-45 ตารางวา สูง 4 ชั้นครึ่ง จำนวน 61 ยูนิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟส โดยในเฟสแรก จะพัฒนาจำนวน 31 ยูนิต เน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็ก ที่ไม่ต้องการเช่าอาคารสำนักงานกลางเมืองที่มีราคาแพง ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 55% ซึ่งลูกค้าที่ซื้อมาจากหลากหลายธุรกิจ โดยสัดส่วน 80% เป็นการซื้อเพื่อดำเนินธุรกิจเอง และอีก 20% เป็นการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า ทั้งนี้ คาดว่าจะทำการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนในเฟสแรกได้ภายในเดือนมกราคม 2560 และเฟสที่ 2 จำนวน 30 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 15.9-22 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 60

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะนำที่ดินบริเวณด้านหน้าโครงการดังกล่าวพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินของสิงห์ เอสเตท มาพัฒนาในรูปแบบของคอมมูนิตีมอลล์ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ โดยจะสรุปผลได้ในเดือนธันวาคม 2559 และเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาส 1/2560 คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมกับโครงการโฮมออฟฟิศภายในปลายปี 2560

“ปัจจุบัน ย่านรามอินทรา ไม่มีซัปพลายโฮมออฟฟิศเลย เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะพัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม จึงเป็นที่ต้องการของหลายธุรกิจที่กำลังมองหาออฟฟิศขนาดเล็ก และด้วยทำเลที่มีศักยภาพ เพราะจะมีรถไฟฟ้าผ่านถึง 2 สายด้วยกัน จึงทำให้การเดินทางสะดวก ประกอบกับสินค้าตอบโจทย์ ลูกค้าสามารถจอดรถได้ถึง 204 คัน” นายศรศักดิ์ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายประมาณ 1,700 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 2,000 ล้านบาท และในปี 2560 คาดว่าจะมียอดขายมากกว่าในปีนี้ เนื่องจากจะมียอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่

ส่วนความคืบหน้าการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทไดอิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ DAII ที่สิงห์ เอสเตทฯ จะเป็นผู้ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของไดอิ จำนวน 55.63% มูลค่ารายการ 3,395 ล้านบาท โดยสิงห์ฯจะแลกกับหุ้นสามัญของ เนอวานา ที่สิงห์ฯ ถืออยู่ทั้งหมด 4,481,717 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 51% มูลค่ารายการไม่เกิน 2,142 ล้านบาท และที่ดิน 2 แปลง มูลค่ารายการ 1,253 ล้านบาท รวมมูลค่ารายการจำหน่ายไปไม่เกิน 3,395 ล้านบาท ให้แก่ DAII เพื่อแลกเปลี่ยนกับเพิ่มทุนของ DAII ในลักษณะการจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 15 ธันวาคมนี้ ภายหลังจากขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ ภายหลังจากการเข้าทำรายการ สิงห์ เอสเตทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่มเพื่อแบ่งแยกขอบข่ายกัน เพื่อป้องกันประเด็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยสิงห์ฯ จะดำเนิน 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับ Luxury และระดับ Super Luxury, ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ส่วน DAII จะดำเนินธุรกิจ 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับต่ำกว่า Luxury และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะไม่แข่งขันกันในการจัดซื้อที่ดิน


กำลังโหลดความคิดเห็น