สมาร์ทคอนกรีต มองภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง โค้งสุดท้ายยังชะลอตัว แต่เริ่มเห็นสัญญาณความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นในเขตภาคตะวันออก การแข่งขันด้านราคาลดลง เดินหน้าบุกงานภาครัฐ-เอกชน ขณะที่ตลาด CLMV ออเดอร์เข้าต่อเนื่อง รุกหนักขยายตลาดในกัมพูชา-ลาว ขณะงบ Q3 ปี 59 รายได้รวม 82.86 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 7.48 ล้านบาท
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ SMART เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบา ในช่วงโค้งสุดท้ายปี 59 ยังคงชะลอตัว ภาครัฐมีการลงทุนในโครงการต่างๆ ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทมีความได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน และเริ่มเห็นสัญญาณที่ดี ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ดังกล่าวเริ่มลงทุนในโครงการใหม่บางส่วนแล้ว ขณะเดียวกัน สถานการณ์การแข่งขันด้านราคาเริ่มมีสัญญาณลดความรุนแรงลง เนื่องจากราคาได้มาถึงจุดต่ำสุด และราคาวัตถุดิบบางส่วนมีราคาสูงขึ้นตาม คาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราส่วนกำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับแนวทางการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 59 ยังคงเดินหน้าเพิ่มออเดอร์จากงานโครงการทั้งเอกชน และภาครัฐ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมเข้าเสนองานทุกรูปแบบ พร้อมทั้งแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ SMART LINTEL คานทับหลังสำเร็จรูป และสมาร์ทมิติบล็อค ผลิตภัณฑ์ผนังตกแต่ง กับโครงการหลายแห่ง ซึ่งในช่วงทีผ่านมา เริ่มมีการตอบรับที่ดี และมีออเดอร์ใหม่บางส่วนเข้ามาแล้ว ส่วนตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV บริษัทได้รุกตลาดในประเทศกัมพูชา และลาว มากขึ้น โดยมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมความต้องการใช้งาน เนื่องจากความต้องการในตลาดกัมพูชา และลาว มีการขยายตัวค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีออเดอร์สินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากพันธมิตรที่เป็นผู้จำหน่ายในประเทศกัมพูชา และลาว ทั้งรายเดิม และรายใหม่ คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 60 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 5-6% เมื่อเทียบกับปัจจุบันอยู่ที่ 4 %
ทั้งนี้ ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/59 ปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมา โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 82.86 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 100.35 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 7.48 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 4.35 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 59 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 235.13 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 270.08 ล้านบาท สาเหตุที่ผลประกอบการลดลง มาจากการชะลอตัวของโครงการภาครัฐ และภาคเอกชน ส่งผลให้รายได้ และกำไรขั้นต้นมีการปรับตัวลดลง และเกิดเป็นขาดทุนสุทธิจำนวนดังกล่าว