สมาร์ทคอนกรีต มองภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างไตรมาส 2 ถึงครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น ชูจุดยืนรุกตลาดกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย สถาปนิก ขยายฐานลูกค้า พร้อมสร้างแบรนด์แนะนำผลิตภัณฑ์ ชี้การแข่งขันด้านราคาดุเดือดต่อเนื่อง วางกลยุทธ์ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “อิฐมวลเบาสำหรับงานตกแต่ง” เพิ่มมาร์จิ้น ขณะที่ตลาด AEC เดินหน้าเจรจาตัวแทนในลาว พม่า เวียดนาม เพิ่มช่องทางอัปรายได้ในอนาคต
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ SMART เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาในประเทศจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีนี้ โดยเป็นผลจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เริ่มทยอยดำเนินโครงการ และส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์กลับมาลงทุนในโครงการใหม่มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ บริษัทวางกลยุทธ์เพื่อรุกตลาดขยายฐานลูกค้าในกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย และสถาปนิกมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทโดยตรง สามารถให้คำแนะนำที่มีผลต่อการตัดสินใจต่อเจ้าของโครงการ โดยเตรียมจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อแนะนำคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ มีความคุ้มค่าทั้งด้านความแข็งแรงในการก่อสร้าง การอยู่อาศัย กระบวนการผลิตมีความทันสมัยมีมาตรฐานระดับสากล และเน้นการสร้างแบรนด์ “SMART บล็อคเย็น” ให้เป็นที่รู้จัก ได้รับความเชื่อถือจากกลุ่มผู้ใช้งานทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ภาวะการแข่งขันด้านราคาในตลาดอิฐมวลเบายังอยู่ในระดับที่รุนแรง โดยมีการลดราคาเพื่อแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์รองรับโดยเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “อิฐมวลเบาสำหรับงานตกแต่งผนังภายใน-นอก” เพื่อเป็นการเพิ่มมาร์จิ้นสินค้าให้สูงขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์
“ตลาดในปัจจุบันยังมีความต้องการใช้อิฐมวลเบาอย่างแพร่หลาย และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทได้เริ่มมีการจัดกิจกรรมการตลาด เพื่อแนะนำแบรนด์ “SMART บล็อคเย็น” และผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยล่าสุด ได้ร่วมออกบูทในงานสถาปนิก 59 ที่ผ่านมา และมีการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า มีคำสั่งซื้อเพิ่มเข้ามาในระดับที่น่าพอใจ และในช่วงต่อจากนี้บริษัทจะดำเนินกิจกรรมการตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง” นายรังสี กล่าว
สำหรับตลาดต่างประเทศ คาดว่าสัดส่วนรายได้ปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 3-4 % โดยบริษัทได้เข้าไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศกัมพูชา และมีคำสั่งซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าขยายตลาดในกลุ่มประเทศ AEC เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว พม่า และเวียดนาม เพื่อทำการกระจายสินค้าให้ครอบคลุม เพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับพันธมิตรในประเทศต่างๆ ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2559 ปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมา โดยรายได้รวมงวดไตรมาส 1/2559 อยู่ที่ 77.125 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวม 86.452 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการลดลง 10.79% และมีผลขาดทุนสุทธิ 8.816 ล้านบาท บริษัทมีปริมาณการจำหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก เพิ่มความเชื่อมั่นแก่กลุ่มลูกค้า เพิ่มจำนวนรถขนส่งเพื่อการบริการที่รวดเร็ว และครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งมีการจำหน่ายสินค้าไปยังประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ราคาจำหน่ายอิฐมวลเบามีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นมีการปรับตัวลดลง และเกิดเป็นขาดทุนสุทธิจำนวนดังกล่าว