xs
xsm
sm
md
lg

ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ ยื่นไฟลิ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ ยื่นไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นไอพีโอ หวังระดมทุนครั้งนี้เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ลงทุนเพิ่มเติมในสายการผลิตเพิ่มอีก 1 สาย เพื่อขยายกำลังการผลิต ส่วนที่เหลือจากโครงการข้างต้นใช้ชำระเงินกู้ยืมระยะยาว และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บริษัท ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำธุรกิจแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ได้ยื่นไฟลิ่งเมื่อวันที่ 27 ต.ค.2559 เนื่องจากบริษัทฯ มีความต้องการจะเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น โดยมี บล.ทิสโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้

การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ลงทุนเพิ่มเติมในสายการผลิตเพิ่มอีก 1 สาย เพื่อขยายกำลังการผลิต ส่วนที่เหลือจากโครงการข้างต้นใช้ชำระเงินกู้ยืมระยะยาว และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับ บมจ. ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายแผ่นใยไม้อัดความหนาแน่นปานกลาง (Medium Density Fiberboard) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า แผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ซึ่งเป็นแผ่นไม้ทดแทนไม้ธรรมชาติ (Wood-based Panel) ประเภทหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์ทดแทนไม้จากธรรมชาติอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และตกแต่งในอาคารบ้านเรือน เช่น บัว วงกบ กรอบประตู ผนัง ฝ้า และพื้น และอุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ เช่น หน้าบานตู้ โต๊ะ เฟอร์นิเจอร์ Built-in เป็นต้น

โดยแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ที่บริษัทผลิต และจำหน่ายส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Custom Made Order) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ ผู้จัดจำหน่ายแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ (Wholesalers/Distributors) โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์/บริษัทรับเหมาก่อสร้าง และโรงงานปิดผิวแผ่นไม้ บริษัทผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ โดยใช้ไม้ยางพาราเป็นวัตถุหลักในการผลิต เนื่องจากคุณลักษณะของไม้ยางพาราที่ให้ปริมาณ และสีของเส้นใยที่เหมาะแก่การทำแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ

สำหรับโครงการในอนาคต บริษัทมีแผนงาน ซึ่งจะดำเดินการระหว่างปี 2559-2561 ดังนี้ โครงการลงทุนเพิ่มเติมในสายการผลิตเพิ่มอีก 1 สาย ปัจจุบัน บริษัทมีเครื่องจักรระบบอัตโนมัติที่เป็นสายการผลิตหลักแบบต่อเนื่อง (Continuous Process) จำนวน 1 สายการผลิต ซึ่งชุดเครื่องจักรดังกล่าวจะถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด และเดินเครื่องต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน โดยมีกำลังการผลิต 20,000 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน หรือเท่ากับ 240,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 บริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตร้อยละ 86.41 ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับกำลังการผลิตของบริษัท บริษัทจึงมีความตั้งใจในการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อในอนาคต โดยการลงทุนในสายการผลิตเพิ่มเติมอีก 1 สาย ซึ่งบริษัทคาดว่า จะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ค่าเครื่องจักร โดยเครื่องจักรหลักที่บริษัทจะดำเนินการซื้อเพื่อขยายการผลิต เป็นเครื่องจักรระบบอัตโนมัติที่เป็นสายการผลิตแบบต่อเนื่องจากประเทศเยอรมนี และค่าปรับปรุงอาคาร และระบบสาธารณูปโภค

บริษัทคาดว่า สายการผลิตใหม่จะติดตั้งแล้วเสร็จภายในปี 2561 โดยบริษัทสามารถทำการตลาดได้ล่วงหน้า เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะสามารถผลิต และจำหน่ายสินค้าได้ทันทีหลังจากสายการผลิตใหม่ติดตั้งเป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนในการเพิ่มเติมสายการผลิตอีก 1 สาย จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และมาจากเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้

ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในงวดปี 58 มีรายได้จากการขาย 1,649.91 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 354.13 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2559 มีสินทรัพย์รวม 1,953.19 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,120.59 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 832.60 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 726.32 ล้านบาท กำไรสุทธิ 139.52 ล้านบาท

ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2559 บริษัทมีทุนจดทะเบียนเท่ากับ 800 ล้านบาท เรียกชำระแล้ว 600 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท และภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 200 ล้านหุ้น ให้แก่ประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 800 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 800 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 29 ส.ค.2559 คือ กลุ่ม ส.กิจชัย รวมถือหุ้น 420 ล้านหุ้น คิดเป็น 70% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้ว จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 52.50%, กลุ่มสหกิจ รวมถือหุ้น 180 ล้านหุ้น คิดเป็น 30% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้ว จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 22.50% บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการภายหลังจากการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด และตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัท


กำลังโหลดความคิดเห็น