บล. KTBST ประเมิน SET Index มีแนวโน้มผันผวนสูงจากแรงขายเพื่อลดความเสี่ยง อีกทั้งปัจจัยบวกมีน้อย แนะกลยุทธ์ชะลอลงทุน เพื่อดูทิศทางตลาดเลือกลงทุนสั้นในหุ้นรายตัวกลุ่มที่มีข่าวบวก มองกรอบดัชนีเคลื่อนไหว 1,488-1,505 จุด
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) ประเมิน SET Index ผันผวนรุนแรงจากทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเคลื่อนไหวบนปัจจัยสำคัญอยู่ 3 ตัว คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ย (พ.ย. หรือ ธ.ค.) เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ (8 พ.ย.) และการรายงานผลประกอบการ โดยคืนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ-ยุโรป มีผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ออกมาหลายตัว
ทั้งนี้ นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ น่าจะใกล้สิ้นสุดแล้ว อีกไม่นานจะมีการลดการใช้ QE หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกันลง ความน่าจะเป็นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ธ.ค. สูงเกิน 70% แล้ว (Fed Fund Rate Futures) เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ย มีผลต่อการปรับพอร์ลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินลงทุน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นลบต่อดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล สินค้าโภคภัณฑ์บางตัว ตลาดหุ้นบางแห่งที่ผลตอบแทนเหลือไม่มาก และเงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้น การปรับพอร์ตของนักลงทุนที่นำเงินมาลงทุนในต่างประเทศ เกิดมาประมาณ 1 เดือนแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯด้วย แต่การขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย เพิ่งจะมาเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ และคาดว่านักลงทุนกลุ่มนี้น่าจะยังคงมีการปรับพอร์ตต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวไป ซึ่งเดือน ต.ค. มียอด net sell ไปแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท และยอดซื้อสะสมปี 2559 ลดลงจาก 1.3 แสนล้านบาท เหลือ 1.17 แสนล้านบาท
ขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะทรงตัว (side way) แม้จะเห็นการดีดตัวขึ้นมาในคืนที่ผ่านมา จากตัวเลข stock น้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลง 6 แสนบาร์เรล และซาอุฯ อาจต้องรับภาระในการลดกำลังการผลิตมากที่สุดถึง 4 แสนบาร์เรล/วัน แต่เราคาดว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อถึงวันที่ตกลงจริงๆ ซาอุฯ อาจไม่ยอมตกลงด้วย นักลงทุนคงต้องมารอดูผลการเดินสายหารือนอกรอบของผู้ผลิตน้ำมันในช่วงวันหยุดนี้
ส่วนปัจจัยในประเทศที่สำคัญๆ จะเป็นแนวโน้มเศรษฐกิจที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับว่า อาจชะลอตัวในไตรมาสที่ 4 แต่เราเชื่อว่า จะเป็นเหตผลให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการต่างๆ หรือการลงทุนเพื่อชดเชย GDP ที่ลดลง นอกจากนี้ ตลาดยังอยู่ในช่วงของการรายงานผลประกอบการ จากที่ บล. KTBST เก็บข้อมูล 19 บริษัทที่นำส่งงบไตรมาสที่ 3 มาแล้ว มีกำไรรวม 7.8 หมื่นล้านบาท +445% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และ +5.5% เทียบกันระหว่างไตรมาสก่อนหน้า
“ดังนั้น ทิศทางตลาดหุ้น ด้วยความกังวลต่อการขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ราคาน้ำมันที่มีทิศทางไม่ชัดเจน จะทำให้แรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ (ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อไว้มาก หรือไม่มีปัจจัยบวกคอยค้ำราคาหุ้นไว้) นั้นลดลง ซึ่งจะทำให้ดัชนีฯ มีความผันผวนจากแรงขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง และการเข้ามาเล่นเก็งกำไรช่วงสั้นๆ ของนักลงทุน ซึ่งจะทำให้ดัชนีฯ ปิดตลาด ไม่แตกต่างจากวันก่อนมากนัก ขณะที่ตัวแปรที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นในระหว่างวัน จะเป็นการซื้อขายวันแรกของหุ้น IPO ชื่อ BPP (บริษัทย่อยของ BANPU) ผลประมูลโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 50 MW (GENCO SUPER CWT GLOW SCC BWG PSTC WHA) และ คาดการณ์ GDP ไตรมาส 3/2559 ของสหรัฐฯ ที่คาดจะขยายตัวจาก 1.4% ในไตรมาสที่ 2/2559 เป็น 2.5% "
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บล. KTBST มองว่า ตลาดน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ จากการชะลอการลงทุนก่อนเข้าสู่วันหยุด และข่าวในเชิงบวกของตลาดที่มีค่อนข้างน้อย จึงแนะนำให้ชะลอดูทิศทางตลาด หรือเลือกลงทุนในกรอบเวลาสั้นๆ ในกลุ่มที่มีข่าวบวกเฉพาะตัว เช่น หุ้นผลประกอบการออกมาดี หุ้นได้ประโยชน์จากโครงการประชารัฐฯ หุ้นอิงรายได้กับการส่งออก หุ้นที่แนะนำ ได้แก่ KCE IVL LPH VNG WICE มองกรอบดัชนีเคลื่อนใหว 1,488-1,505 จุด