UDA ยื่นไฟลิ่งเข้าตลาดหุ้นลาว เตรียมขายไอพีโอ 25 ล้านหุ้น เผยเตรียมระดมทุนขยายพ่อแม่พันธุ์หมู คาดจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
นายนิดสะหวัน หลวงโคตรปะวงศ์เวียงคำ ผู้อำนวยการ บริษัท ร่วมพัฒนากสิกรรม ขาออก-ขาเข้า มหาชน (UDA) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายลูกหมูที่ได้มาตรฐานในระบบโรงเรือนแบบปิด (Evaporative Cooling System : EVAP) ที่ตอบสนองเสบียงอาหารให้แก่สังคมใน สปป.ลาว เปิดเผยว่า วันนี้ (27 ต.ค.) บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองหลักทรัพย์ (สคคซ.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 25 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2,000 กีบ
บริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว จำนวน 100,000 ล้านกีบ (ประมาณ 434.78 ล้านบาท) และภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลาว (LSX) บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 150,000,000 ล้านกีบ (ประมาณ 652.17 ล้านบาท)
บริษัทมีหมู 3 สายพันธุ์ คือ Large White, Landrace และ Duroc ซึ่งจะได้ลูกหมูที่มีคุณภาพ และขุนง่ายได้น้ำหนักเป็นที่นิยมของตลาด และมีความสามารถที่จะผสมพันธุ์เทียม และระบบการตรวจติดตามคุณภาพ และน้ำหนักลูกหมู โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ คือ ผลิต และจำหน่ายลูกหมูอายุประมาณ 8-10 สัปดาห์ โดยมีน้ำหนักประมาณ 16-25 กิโลกรัม เพื่อจำหน่ายให้ผู้ประกอบการเลี้ยงหมูก่อนนำไปเลี้ยงให้ได้น้ำหนัก และจำหน่ายออกสู่ท้องตลาด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เป็นผลพลอยได้จากผลิตภัณฑ์หลัก คือ การจำหน่ายพ่อพันธุ์ และแม่พันธุ์ที่ปลดประจำการให้กับลูกค้าที่สนใจอีกด้วย
ปัจจุบัน บริษัทมีพ่อพันธุ์หมู จำนวน 80 ตัว แม่พันธุ์หมู จำนวน 4,750 ตัว สามารถผลิตลูกหมูเข้าสู่ตลาดประมาณ 8,000 ตัวต่อเดือน ซึ่งผลิตภัณฑ์หลัก คือ ลูกหมูผสม 3 สายพันธุ์ ระหว่าง Large White, Landrace และ Duroc ซึ่งจะได้ลูกหมูที่มีคุณภาพ และขุนง่ายได้น้ำหนักเป็นที่นิยมของตลาด
“ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ ได้ส่งขายให้แก่ตัวแทนในพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือของ สปป.ลาวเป็นหลัก แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างเพียงพอ และจากการที่ผู้บริหารมีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญทางด้านปศุสัตว์มาอย่างยาวนาน ทำให้มองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจว่า ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก”
ดังนั้น จึงเห็นสมควรที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ลาวเพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในพ่อ และแม่พันธุ์ รวมถึงการลงทุนในโรงเรือน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องประมาณ 2,000 ตัว ซึ่งคาดว่าจะทำให้สามารถผลิตลูกหมูเข้าสู่ตลาดได้ 12,000 ตัวต่อเดือน ขณะที่เงินบางส่วนจะนำไปชำระคืนเงินกู้กับธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ”
ท่านนางจันนวน ศรีประเสริฐ รองผู้อำนวยฝ่ายการเงิน UDA เปิดเผยว่า นอกจากการดำเนินธุรกิจหลักแล้วบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม โดยได้รับการส่งเสริมการพัฒนาจากสถาบันส่งเสริมพลังงานทดแทนของกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือจากธนาคารโลก (Word Bank) โดยให้การสนับสนุนทุน และวิชาการ เพื่อก่อสร้างบ่อแก๊สชีวภาพ โรงไฟฟ้า และบ่อบำบัดน้ำเสีย รวมถึงให้ความรู้กับพนักงานของบริษัทฯ ในการศึกษานำมูลสัตว์ไปเป็นพลังงานทดแทน (Biogas) โดยบ่อแก๊สชีวภาพสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 0.5 เมกะวัตต์ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับไฟฟ้าของบริษัทฯ ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทฯ มีคอกหมูทั้งหมดจำนวน 57 หลัง แบ่งเป็นคอกหมูแบบปิด (Evaporative Cooling System : EVAP) จำนวน 19 หลัง คอกหมูแบบปิด จำนวน 29 หลัง และคอกหมูอื่นๆ อีกจำนวน 9 หลัง
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอพีเอ็มลาว (APMLAO) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ UDA เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นไฟลิ่งต่อ สคคซ.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลาว ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเชื่อว่าจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของ UDA อย่างมีนัยสำคัญ
บริษัทมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ดังนี้ ปี 2013 มีรายได้รวม 26,413 ล้านกีบ (ประมาณ105.60 ล้านบาท) ขาดทุนสุทธิ 708 ล้านกีบ (ขาดทุนสุทธิประมาณ 3.08 ล้านบาท) ปี 2014 มีรายได้รวม 39,845 ล้านกีบ (ประมาณ 173.24 ล้านบาท) กำไรสุทธิ 1,187 ล้านกีบ (ประมาณ 5.16 ล้านบาท) และปี 2015 มีรายได้รวม 52,977 ล้านกีบ (ประมาณ 230.33 ล้านบาท) กำไรสุทธิ 868 ล้านกีบ (ประมาณ 3.77 ล้านบาท)
“ปัจจุบันใน สปป.ลาว มีการลงทุนทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศเป็นอย่างมาก ดูได้จากตัวเลขเศรษฐกิจของ สปป.ลาว มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2014-2015 เศรษฐกิจของ สปป.ลาว มีการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 7.4 ส่งผลให้การบริโภคอาหารเพิ่มขึ้นทำให้ธุรกิจของ UDA มีการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้น เชื่อว่า เมื่อ UDA เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อีกมาก” นายสมภพ กล่าวสรุป