บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) พร้อมเข้าเทรดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 18 ต.ค.นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 812 ล้านบาท ตั้งเป้าระดมทุนซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ในการวิจัย และพัฒนา สร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยว่า SELIC ให้ความสำคัญกับการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และประยุกต์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการของลูกค้า การนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ และสร้างฐานทุนที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต โดย SELIC จะนำเงินที่ระดมทุนได้ลงทุนจัดซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ในการวิจัย และพัฒนา ปรับปรุงอาคาร และระบบการผลิต ลงทุนสำหรับวางระบบสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ
ทั้งนี้ SELIC มีทุนชำระแล้ว 140 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 200 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 80 ล้านหุ้น เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 10-12 ตุลาคม 2559 ในราคาหุ้นละ 2.90 บาท มูลค่าการระดมทุนรวม 232 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 812 ล้านบาท มีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจท์เม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย
ขณะที่ นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวเสริมว่า บมจ. ซีลิค คอร์พ (SELIC) จะเข้าจดทะเบียน และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ในวันที่ 18 ตุลาคม 2559 โดย SELIC ดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่าย รวมทั้งวิจัย และพัฒนากาวอุตสาหกรรม แบ่งสินค้าของบริษัทเป็น 4 กลุ่ม คือ กาว Solvent, กาวน้ำ, กาว Hot Melt, และสารเคมีภัณฑ์อื่นๆ เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศกว่า 27 ประเทศ ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท ได้แก่ VEGAMELT, INTENSITY, MINERVA, TORA, ICETECH, DELTABOND, WORLD, ZICCO, RHINO, TUFF KIT เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หลัง IPO บมจ. ซีลิค คอร์พ หรือ SELIC มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มสุวัฒนพิมพ์ ถือหุ้น 67.50% กลุ่มว่องกุศลกิจ ถือหุ้น 2.00% และนายศุภวัตร ลิขิตธนวงศ์ ถือหุ้น 1.22% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 19.33 เท่า คำนวณจากผลกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 กรกฎาคม 2558-30 มิถุนายน 2559) ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 42.26 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.15 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด
