พลัสฯ เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในซอยทองหล่อ ความต้องการพุ่งแรงเหลือขายไม่ถึง 5% เหตุพื้นที่พัฒนาโครงการใหม่เริ่มมีจำกัด แต่เป็นทำเลศักยภาพใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ แหล่งชอปปิ้ง และการคมนาคมสะดวก ส่งผลราคาขายต่อพุ่งแรง คอนโดมิเนียมราคาเพิ่มเฉลี่ยปีละ 13% ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดปล่อยเช่าคึกคัก ผลตอบแทนสูง 5% ต่อปี เหตุตอบโจทย์ความต้องการของชาวไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น อเมริกา และเกาหลีใต้ ส่งผลทำเลทองหล่อ ขึ้นแท่นทำเลระดับท็อปตลอดกาล
นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหาร และจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า แม้ทำเลทองหล่อ จะถือเป็นทำเลที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่จำนวนไม่มาก เนื่องจากมีความจำกัดในด้านพื้นที่ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นปีละไม่เกิน 2 โครงการ บางปีไม่มีโครงการใหม่เลย ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ในเส้นทองหล่อ ปากซอยถึงท้ายซอยยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยระดับ Super Luxury ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันในย่านทองหล่อ จำนวนอุปทานโครงการ High Rise มีรวมกว่า 1,800 ยูนิต ซึ่งเหลือขายเพียง 35 ยูนิต แต่จะมีโครงการที่เปิดขายในไตรมาส 4/2559 อีก 423 ยูนิต ส่วนราคาขายเฉลี่ยโครงการ High Rise ล่าสุด อยู่ที่ 300,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) นอกจากนี้ ยังพบว่า ราคาคอนโดมิเนียมรีเซลที่ถูกนำกลับมาขายใหม่บางโครงการ ราคาปรับขึ้นจากวันเปิดตัว ถึง 80% เช่น โครงการควอทโทร บาย แสนสิริ (Quattro by Sansiri) และ เอช คิว ทองหล่อ (HQ Thonglor)
สำหรับตลาดเช่า พบว่า ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) อยู่ในระดับที่ดี ล่าสุด Rental Yield อยู่ที่ 5% ต่อปี โดยได้อุปสงค์จากคนญี่ปุ่น มากสุดถึง 70% จากจำนวนห้องที่ปล่อยเช่า รองลงมา คือ ชาวอเมริกัน เกาหลีใต้ และไทย เป็นต้น ซึ่งรูปแบบห้องที่นิยมมากที่สุด คือ 1 ห้องนอน ขนาด 50-55 ตร.ม. ค่าเช่า 50,000-60,000 บาทต่อเดือน และ 2 ห้องนอน ขนาด 75-85 ตร.ม. ในราคาค่าเช่า 65,000-85,000 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ย 1,000 บาทต่อ ตร.ม.
ดังนั้น หากจะกล่าวว่า ทำเลทองหล่อ เป็นทำเลที่ทั้งผู้ซื้อ และผู้เช่าชาวต่างชาติต่างสนใจอยากถือครอง และเข้าพักอาศัยเป็นอันดับต้นๆ ก็ว่าได้ เพราะด้วยศักยภาพของที่อยู่ในย่านใจกลางเมือง เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงมูลค่าอสังหาฯ ที่ยิ่งถือครองยิ่งเพิ่มมูลค่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ทองหล่อ ถือว่าเป็นทำเลคุณภาพใจกลางเมืองบนถนนสุขุมวิท ตอนต้น แวดล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ ที่ไม่เพียงเป็นสถานที่ฮอตฮิตสำหรับออกมาแฮงก์เอาต์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นพื้นที่ใกล้เคียงศูนย์กลางธุรกิจ และเส้นทางคมนาคมที่สะดวกสบาย โดยมีคอมมูนิตีมอลล์ใหม่เปิดตัวมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับดีมานด์ของผู้พักอาศัยในละแวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยของ J Avenue และ Market Place ไปจนถึงที่เปิดใหม่ล่าสุด อย่าง The Common ทองหล่อ, Maze ทองหล่อ และ 72 Courtyard ที่สร้างความคึกคัก และดึงดูดแก่ย่านที่ไม่เคยหลับไหลอย่างทองหล่อ ได้เป็นอย่างดี
เพราะความครบครันในการใช้ชีวิตแบบพรีเมียม ส่งผลให้อสังหาฯ ในพื้นที่นี้ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีข้อจำกัดด้านที่ดินสำหรับการพัฒนาที่เหลือน้อยเต็มที ทั้งในพื้นที่ทองหล่อ ที่หาทำเลดีได้ยากขึ้น และราคาที่ดินมีการปรับตัวสูง อุปทานในพื้นที่ทองหล่อ ปัจจุบันจึงมีไม่มากนัก ซึ่งพบว่า มีโครงการ High Rise เปิดขายเพียง 1 โครงการ ราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 300,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนโครงการอื่นปิดการขายได้หมดแล้ว จึงเป็นเหตุผลให้อสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแม้ราคาอสังหาริมทรัพย์ย่านนี้จะแพงขึ้น แต่ก็มีความต้องในกลุ่มคนระดับบนอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากกลุ่มชาวไทย และต่างชาติ และที่ดินในย่านทองหล่อ ยังเป็นที่ต้องการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเห็นได้จากมีการซื้อที่ดินหลายๆ แปลงในราคาสูง เพื่อนำมาพัฒนาเป็นคอนโดนมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ อาทิ โครงการ เทลล่า ทองหล่อ (Tela Thonglor) ตารางวาละ 1,100,000 บาท เดอะแบงค็อก ทองหล่อ (The Bangkok Thonglor) ตารางวาละ 2,000,000 บาท ลาวีค สุขุมวิท 57 (LAVIQ Sukhumvit 57) ตารางวาละ 1,200,000 บาท และ บีทนิค (BEATNIQ) ตารางวาละ 1,300,000 บาท
“ถึงแม้ว่าราคาจะแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีอัตราดูดซับสูง และจากการสำรวจคอนโดมิเนียมที่ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารอยู่ พบว่า ภาพรวมมีความหนาแน่น โดยเฉลี่ยประมาณ 80% จึงถือว่าทองหล่อ เป็นทำเลที่คุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน”