ผู้ว่าการ ธปท. แนะ 4 ประเด็นสำคัญเพื่อวางรากฐาน ศก.ไทย และผลักดันให้ ศก.เติบโตได้แบบยั่งยืน แต่การดูแลให้ ศก.ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในระยะสั้นๆ ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น และควรต้องระวังไม่ให้ปัญหาเฉพาะหน้ามาบดบังเรื่องสำคัญในระยะยาว ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า ระบบ ศก.ไทยกำลังเผชิญกับกับดักเชิงโครงสร้างในหลายด้าน
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในหัวข้อ “Thailand Agenda 2030 : วิสัยทัศน์การพัฒนาใหม่สู่ประเทศไทยยั่งยืน” โดยระบุว่า ภายใต้สภาวะที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การดูแลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในระยะสั้นๆ เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ปัญหาเฉพาะหน้ามาบดบังเรื่องสำคัญในระยะยาว
“ตัวเลขเศรษฐกิจที่เราควรให้ความสำคัญ จึงไม่ได้มีแค่การเติบโตของ GDP ในปีนี้ หรือปีหน้า แต่ต้องมองไปถึงอัตราการขยายตัวตามศักยภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงระยะยาวด้วย”
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ต้องยอมรับความจริงว่า ระบบเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับกับดักเชิงโครงสร้างในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นระดับความสามารถทางเทคโนโลยี ทั้งในภาคอุตสาหกรรม เกษตร และบริการ, กรอบกฎเกณฑ์กติกาที่ล้าสมัยไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจยุคใหม่, การขาดประสิทธิภาพของระบราชการ และที่สำคัญ คือ โครงสร้างของประชากรไทยที่ส่งผลให้เกิดข้อจำกัดด้านแรงงาน
ประเทศไทยในอีก 15 ปีข้างหน้า จะมีจำนวนประชากรที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีนี้ แต่สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นจาก 16% ในปัจจุบันเป็น 27% ในอีก 15 ปีข้างหน้า และที่สำคัญในส่วนของระบบการเมืองนั้น ผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มฐานเสียงที่สำคัญ รัฐบาล และพรรคการเมืองจะให้ความสำคัญกับการดูแลผู้สูงอายุมากกว่าที่จะขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจไปข้างหน้า เหมือนกับที่หลายประเทศอุตสาหกรรมหลักที่กำลังติดกับดักอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ เพื่อให้ไทยได้ก้าวเข้าสู่ปี ค.ศ.2030 และอนาคตหลังจากนั้น ได้อย่างเท่าเทียมกับความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้น จึงเสนอมุมมองใน 4 ประเด็นที่เชื่อว่า จะมีส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้เราขับเคลื่อนไปในแนวทางของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ประเด็นแรก การพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนไม่ใช่เพียงหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ ภาครัฐต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานร่วมกัน และต้องสนับสนุนให้มีการเปิดพื้นที่เกิดการทำงานร่วมกันกับภาคส่วนอื่นๆ อย่างมีพลัง
ประเด็นที่สอง จะต้องปรับการให้น้ำหนักจากการมองระยะสั้นไปสู่การมองระยะยาว การมุ่งให้ความสำคัญกับปัญหาระยะสั้นมากเกินไป อาจทำให้ลืมคิดถึงผลดี และผลเสียที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว
ประเด็นที่สาม ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันในทุกเรื่องหลักที่ทำ โดยรัฐบาลต้องระวังรักษาระดับหนี้สาธารณะให้เหมาะสม ธนาคารกลางต้องรักษาทุนสำรองให้เพียงพอ เพื่อรับความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย และดูแลให้ระบบสถาบันการเงินมีสัดส่วนเงินกองทุนที่มากพอ ธุรกิจต้องระมัดระวังไม่ให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนสูงเกินควร ขณะที่ประชาชนเองต้องรักษาระดับเงินออม รักษาสุขภาพ และรักษาจิตใจให้สามารถรรับแรงปะทะใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
ประเด็นที่สี่ ต้องสร้างสภาวะแวดดล้อม หรือระบบนิเวศที่ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงแบบพลวัต และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเท่าทันกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และความรุนแรงของปัญหาที่ต้องเผชิญ
“ทั้ง 4 ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคมไทยให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และช่วยให้เรามีรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระยะยาวด้วย” นายวิรไท กล่าวสรุป