TMB Analytics คาดที่ประชุม กนง.ยังคงดอกเบี้ยถึงกลางปีหน้า แม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ แนะผู้ประกอบการจับตาทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายใกล้ชิด ยอมรับในปัจจุบันที่ความผันผวนของตลาดการเงิน และการดำเนินนโยบายที่สวนทางกันของธนาคารกลาง ส่งผลกระทบให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีโอกาสผันผวนรุนแรงในอนาคต
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) มองการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่จะมีจุดเริ่มต้นในปีนี้จะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า และเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ แต่จะไม่ส่งผลรุนแรงต่อตลาดเงินตลาดทุนไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเช่นนี้ไว้ได้อย่างน้อยถึงกลางปีหน้า
แม้ที่ประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ในคืนที่ผ่านมา มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่ระดับ 0.25-0.50% แต่มี 3 เสียงไม่เห็นด้วย และมองว่าควรขึ้นดอกเบี้ยเลย จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้น 0.25% ในอีก 3 เดือนข้างหน้า และมีแนวโน้มปรับขึ้นอีก 0.50% ในปีหน้า
ดังนั้น นักลงทุน และผู้ประกอบการไทยจึงควรติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวไม่เพียงจะส่งผลให้ต้นทุนในรูปดอลลาร์สหรัฐปรับตัวสูงขึ้น แต่ตลาดเงินตลาดทุนจะผันผวนมากขึ้นในช่วงท้ายปี และปีหน้าอย่างแน่นอน และสิ่งที่น่าจับตามองที่สุด คือ ธปท.จะรับมือกับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ครั้งนี้อย่างไร
กรณีดังกล่าวหลายคนอาจมองว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยโดยตรง แต่หากมองในมุมดอกเบี้ย การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เป็นเหมือนการจุดประกายให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยตามในไม่ช้าหรือไม่ ซึ่งถ้าเรามองย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2001 จนถึงปัจจุบันจะพบว่า การขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. 13 ใน 25 ครั้งหลังสุดเป็นการขึ้นหลังจากที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยภายในหนึ่งเดือนก่อนหน้า
ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตลาดอาจมองว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟด เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของ กนง. ยิ่งในปัจจุบันที่ความผันผวนของตลาดการเงิน และการดำเนินนโยบายที่สวนทางกันของธนาคารกลาง ส่งผลกระทบให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีโอกาสผันผวนรุนแรงในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี วิเคราะห์ว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่จะเกิดขึ้นต่อไป จะไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนในตลาดการเงินไทยมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีการเติบโตที่ดีขึ้นสวนทางกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว ประกอบกับในทางทฤษฎี เมื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นในขณะที่ดอกเบี้ยไทยยังคงทรงตัว ตราสารหนี้สกุลเงินบาทจึงลดความน่าสนใจลงเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนขายตราสารหนี้ไปซื้อตราสารหนี้สหรัฐฯ เงินทุนไหลออก ค่าเงินบาทจะอ่อน
ทั้งนี้ พบว่าก่อนการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ของเฟด โดยส่วนใหญ่ จะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงราว 1% ในขณะที่หลังการขึ้นดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นราว 0.05% และถ้าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นไปตามคาด เรามองว่า ธปท.จะยังคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเช่นนี้ไว้ได้อย่างน้อยถึงกลางปีหน้า หรือจนกว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าระดับดอกเบี้ยนโยบายไทย
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยยังไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท และจับตาทิศทางดอกเบี้ย และเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการคาดการณ์ดังกล่าวอาจถูกกระทบด้วยปัจจัยอื่นๆ จนผลลัพธ์กลับสวนทางได้ในภาวะตลาดที่ผันผวน เช่น ในปลายปีที่ผ่านมา ที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยได้ 0.25% ขณะที่ กนง.คงดอกเบี้ย แต่กลับมีเงินทุนไหลเข้าทั้งในตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ถึง 3.67 แสนล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 2016
ดังนั้น ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยอาจยังไม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลง แต่การเคลื่อนย้ายเงินทุนเหล่านี้จะส่งผลต่อตลาดเงิน ตลาดทุน และค่าเงินบาทจน ธปท.อาจต้องหันกลับมาใช้ดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการรับมือกับความผันผวนของตลาดการเงินโลกอีกครั้ง