“วรวรรณ” ชี้ความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ส่งให้ดัชนีฯ ยังอยู่ในกรอบร้อนแรง จับตาสัญญาณแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่อาจส่งผลต่อกระแสเงินทุนในตลาดเกิดใหม่
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกันยายน 2559 ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.22% ดันให้ดัชนีอยู่ในระดับร้อนแรง (Bullish) โดยมีปัจจัยจากการไหลของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเป็นตัวดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม สัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจส่งผลต่อกระแสเงินทุนโดยรวมของตลาดเกิดใหม่ ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เดือนตุลาคม 2559) อยู่ที่ 140.68 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (Bullish) (ช่วงค่าดัชนีระหว่าง 0-200) ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 9.22% จากเดือนที่ผ่านมา ที่ 128.81 นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนทุกกลุ่มอยู่ในระดับร้อนแรง โดยดัชนีนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 18.43% ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลุ่มอื่นปรับตัวลดลงเล็กน้อย ส่วนหมวดอุตสาหกรรมที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ธนาคาร (BANK) ส่วนหมวดพลังงาน และสาธารณูปโภค (ENERG) เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด นอกจากนี้ ในส่วนของปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าออกของเงินทุน ในขณะที่ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ด้วยเม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ทำให้มีการเติบโตอย่างโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ความไม่แน่นอนภายหลังการลงประชามติ (Brexit) ปัญหาทางการเงินในยุโรป ซึ่งส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้าย และอัตราแลกเปลี่ยนที่จะผันผวนมากขึ้น ตลอดจนผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐ แต่การส่งออกยังคงหดตัวตามเศรษฐกิจเอเชีย ที่ชะลอลงมากกว่าคาด
ด้าน นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้านักวิเคราะห์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มองว่า ปัจจัยสำคัญในช่วงที่เหลือของปี คือ ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตอนปลายปี ขณะที่ธนาคารกลางหลักอื่นๆ รวมถึง ธปท.ยังจะต้องใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจต่อ สำหรับในปี 2560 แม้เศรษฐกิจยุโรปมีประเด็นความไม่แน่นอนด้านการเมืองในอียูเข้ามาเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะยังฟื้นตัวต่อเนื่อง และเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเครื่องจักรสำคัญของไทยยังคงเป็นการท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐ ด้านการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนมีโอกาสฟื้นตัวตามความเชื่อมั่น หลังสถานการณ์เมืองมีเสถียรภาพ และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปี 2560 ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มปรับขึ้นเป็นร้อยละ 1.75 ในช่วงปลายปี 2560 โดยเงินบาทอาจยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อในปีหน้าหากเฟดไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ตามที่สื่อความไว้ก่อนหน้านี้