xs
xsm
sm
md
lg

“ทีเอ็มบี” ชี้เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าตามกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


TMB Analytics ชี้การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในคืนวันพฤหัส เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองมากที่สุด ด้านค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าตามกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การประกาศรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในคืนวันพฤหัส (14 เม.ย.) เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองมากที่สุดในสัปดาห์นี้ ด้านค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าตามกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ต่อไปจนกว่าสหรัฐฯ จะเริ่มกลับมา “ชัดเจน” เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ก็พบว่าภาวะตลาดเงินในปัจจุบัน ตราสารหนี้ของไทยให้ผลตอบแทน “ต่ำกว่า” ตราสารหนี้สหรัฐฯ แต่ด้วยค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า และเงินเฟ้อในประเทศที่ต่ำก็ยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้บอนด์ของไทยยังพอมีความน่าสนใจอยู่

ศูนย์วิเคราะห์ฯ มีความเห็นว่า การประกาศรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในคืนวันพฤหัสฯ เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองมากที่สุด โดยในอาทิตย์นี้จะมีทั้งการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อนอกภาคการผลิตของสหรัฐฯ (ISM Non-Manufacturing) ประจำเดือนมีนาคมในคืนวันอังคาร (12 เม.ย.) โดยตลาดคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 54.0 ซึ่งสะท้อนว่า ภาคบริการของสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ด้านรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสนี้ เราคาดว่าเนื้อหาควรจะให้ข้อมูลต่อตลาดมากขึ้น ทั้งในเรื่องของระยะเวลา และตัวแปรที่สำคัญต่อการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากก่อนหน้านี้ ประธานเฟดหลายสาขาเริ่มออกมาสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว

ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้างภายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จากระดับ 35.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์ก่อนมาอยู่ที่ระดับ 35.1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นวันศุกร์ (15 เม.ย.) อย่างไรก็ตาม เงินบาทกลับอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 35.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐตามเดิม หลังตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ยังรายงานออกมาแข็งแกร่ง สำหรับสัปดาห์นี้ผู้ค้าส่วนใหญ่จะจับตาไปที่รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีกำหนดจะเผยแพร่วันพฤหัสนี้ อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าถ้ารายงานการประชุมไม่ได้ชี้ชัดถึงช่วงเวลาที่จะขึ้นดอกเบี้ย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ตลาดจะยังเทขายดอลลาร์สหรัฐออกมาก่อนเพื่อลดความเสี่ยง และยังมีโอกาสที่กระแสเงินทุนจะไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่องไปจนกว่าสหรัฐฯ จะเริ่มกลับมา “ชัดเจน” เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง สำหรับสัปดาห์นี้เราคาดว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะยังมีแนวโน้มอ่อนค่าในช่วง 35.0-35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินยูโร และเยนจะอยู่ในกรอบ 39-40 ยูโรต่อบาท และ 30.9-31.8 บาทต่อ 100 เยน

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงจากระดับ 1.90% มาที่ระดับ 1.77% ในขณะที่บอนด์ยิลด์ไทยอายุ 10 ปี ก็ปรับตัวลงหนักจากระดับ 1.81% ในสิ้นสัปดาห์ก่อนมาอยู่ที่ระดับ 1.59% ในสิ้นวันศุกร์ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบอนด์ยิลด์ไทย คือ เงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่บอนด์ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อย่างล้นหลาม และปริมาณความต้องการในประเทศที่หนาแน่น โดยในสัปดาห์นี้ เราพบว่า มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดบอนด์ไทยถึง 4.1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้โดยรวมมีเงินทุนไหลเข้าถึง 1.8 แสนล้านบาทแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี

โดยสรุป เรายังมองว่าสภาวะตลาดยังเอื้อต่อการถือบอนด์ และมองว่าปัจจัยที่จะต้องจับตามอง คือ ราคาน้ำมัน ถ้าราคาน้ำมันไม่ปรับตัวลงแรง ตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ก็น่าจะยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนอยู่ ซึ่งแม้ว่าปัจจุบัน ตราสารหนี้ไทยจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตราสารหนี้สหรัฐฯ แต่ด้วยค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า และเงินเฟ้อในประเทศที่ต่ำก็ยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้บอนด์ไทยยังพอมีความน่าสนใจอยู่ โดยเราคาดว่ายิลด์พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี จะอยู่ในช่วง 1.55-1.75% ในสัปดาห์นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น