xs
xsm
sm
md
lg

โบรกฯ มองภาพของตลาดหุ้นสัปดาห์นี้แบ่งเป็น 3 ช่วง พร้อมให้กรอบ 1,451-1,521 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


KTBST มองกรอบหุ้นไทยสัปดาห์นี้ 1,451-1,521 จุด แนะชะลอลงทุน พร้อมจับตาประชุม BOJ และผลประชุม FOMC คาดภาพของตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะแบ่งเป็น 3 ช่วง

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ (19-23 ก.ย.) ภาพของตลาดหุ้นจะแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ วันจันทร์ ดัชนีฯ อาจลดลงจากที่ปิดตัวขึ้นไปมากเมื่อวันศุกร์ วันอังคาร เป็นต้นไป ตลาดจะเหมือนกับตลาดประเทศอื่นๆ คือ ชะลอเพื่อดูผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และสหรัฐฯ (FOMC) ทิศทางตลาดจะเคลื่อนไหวในลักษณะออกด้านข้าง (sideway) แต่ด้วยโมเมนตัม หรือแรงซื้อที่ยังมีต่อจะทำให้ดัชนีฯ สูงขึ้นได้ และช่วงสุดท้าย คือ หลังทราบผลการประชุม BOJ และ FOMC แล้วนั้น ตลาดสองวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้อาจเป็นได้ทั้งบวก และลบ แต่ KTBST ประเมินว่าจะไปในทางบวกมากกว่าหากถ้า FOMC ไม่ขึ้นดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญๆ ของตลาดหุ้นทั่วโลกจะคล้ายๆ กัน คือ ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลการประชุมของ 2 ธนาคารกลางในวันที่ 20-21 ก.ย. แต่แรงขายหุ้นในตลาดต่างๆ จะน้อยลง เพราะโอกาสที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยมีน้อยลง (Fed Fund Rate Implied Probability เดือน ก.ย.= 15%) อีกทั้ง BOJ นั้น อาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา และปรับเพิ่ม QE จากเดิม 80 ล้านล้านเยนต่อปี (BOJ Total Assets ณ 10 ก.ย.เพิ่มขึ้น 73 ล้านล้านเยน จากปลายปีก่อน) ซึ่งผลการประชุมของธนาคารกลางทั้งสองแห่ง แม้เราประเมินว่า น่าจะไปในทางบวกมากกว่า แต่คณะกรรมการของทั้งสองธนาคารอาจไม่ทำตามกระแสคาดการณ์ของนักลงทุน และนักเศรษฐศาสตร์ก็ได้

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันทั้ง OPEC กับประเทศผู้ผลิตอื่นๆ ที่กำหนดอย่างไม่เป็นทางการ 27 ก.ย. จะมีการให้ข่าวที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันในแต่ละวัน ซึ่งจับตาดูว่า การผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในหลายประเทศของ OPEC จะมีผลให้การประชุมครั้งนี้อย่างไร อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการประชุมจริง แต่ผลอาจแค่พยุงราคาน้ำมันไว้ให้แกว่งในกรอบ 40-50 เหรียญสหรัฐ เท่านั้น ไม่ขึ้นไกลกว่านี้ เพราะปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ (Supply) ไม่ได้ลดลงจากระดับปัจจุบัน จึงไม่คาดหวังอะไรกับการประชุมครั้งนี้ ดังนั้น หุ้นกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี จะแกว่งตัวตามข่าวในแต่ละวัน

ส่วนกรณีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ธนาคาร Deutsche Bank จ่ายค่าปรับเป็นเงิน 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อยุติการสอบสวนในคดีที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (mortgage-backed securities : MBS) ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตการเงินโลกปี 2008 กรณีนี้อาจมีผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกได้

ด้านยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน ส.ค. คาดกันว่าจะทรงตัว (เดือนก่อน 60,635 คัน -0.4% YoY) จากเงินลงทุนจากภาครัฐ สถานการณ์ภัยแล้งเริ่มมีสัญญาณคลี่คลาย รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จากค่ายรถยนต์ต่างๆ

ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ทิศทางตลาดอาจจะจับจังหวะเล่นยากกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา หากวันจันทร์ (19 ก.ย.) หุ้นปิดบวก หรือลบเล็กน้อย แนะนำถือหุ้นต่อ การเข้าลงทุนอาจรอให้หุ้นขึ้นแล้วค่อยเล่นตาม หรือรอจังหวะซื้อหากมีการพักตัว โดยมองว่าหุ้นใหญ่น่าจะเคลื่อนไหวน้อยกว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็ก จึงควรเน้นลงทุนที่หุ้นกลุ่มหลังไว้ก่อน หรือหุ้นที่นักลงทุนไทยเล่นกันเอง

“หุ้นที่แนะนำในสัปดาห์นี้ ได้แก่ หุ้นที่คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลดีสม่ำเสมอ และได้ประโยชน์หาก Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไป คือ DIF, JASIF, EGCO หุ้นกลุ่มส่งออก หรือมีรายได้อ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ KCE, TOG, BANPU หุ้นที่ระดับราคาปรับลงมาจนน่าสนใจ ได้แก่ TSE, PIMO, WICE, BCH, FSMART และหุ้นที่นักลงทุนต่างประเทศขายมากในปีนี้อย่าง DELTA, INTUCH, MAJOR กรอบดัชนีในสัปดาห์ มองแนวรับอยู่ที่ 1,464 -1,451 ส่วนแนวต้านจะเป็น 1,500-1,521 จุด และมีจุด cut loss สำหรับคนเล่นสั้นอยู่ที่ 1,464 จุด” นายวิน กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น