xs
xsm
sm
md
lg

KTBST คาด SET Index อาจพุ่งแตะ 1,550 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บล.เคทีบี มองดัชนีสัปดาห์นี้อาจปรับตัวพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,550 จุด แนะจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ชูหุ้นเด่น “ROBINS” มีแนวโน้มรายได้เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจต่างจังหวัดที่โตขึ้น และแนะนำซื้อ “IRPC” ที่ราคา 5.40 บาท หลังได้ประโยชน์จากการทำ COD ในโครงการ UHV

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) กล่าวว่า ตลาดหุ้นในรอบวันที่ 25-29 กรกฎาคมนี้ ส่วนใหญ่ยังเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยเดิม หรือเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยเดิมที่ตลาดรับรู้มาระดับหนึ่งแล้ว ตัวเลขส่งออกถ้าไม่ดีมากคงไม่มีผลอะไร ราคาน้ำมันเป็นลบ แต่หุ้นปิโตรเคมีเป็นบวก จึงเป็นการชดเชยกันไป ส่วนการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะไปมีผลต่อตลาดวันศุกร์ (29 ก.ค.) ภาพของตลาดจึงเห็นว่า เงินทุนไหลเข้ายังมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยอยู่ แต่ความร้อนแรงจะลดลง ยิ่งเมื่อเข้าใกล้วันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเข้ามา การเคลื่อนไหวของดัชนีฯ จะเป็นลักษณะไต่ระดับขึ้นผสมการขายทำกำไรเป็นช่วงๆ โดยมองกรอบดัชนีในสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในแนวรับที่ 1,500-1476 ส่วนแนวต้านมองที่ 1,521-1550 จุด

“กลยุทธ์การลงทุนมองว่า ราคาหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก จะทำให้โอกาสที่จะมีการไล่ราคาหุ้นตัวเดิมๆ มีน้อยลง ยกเว้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว นักลงทุนควรปรับเป็นเล่นสั้นๆ เลือกขายหุ้นขึ้นมาก สลับไปเล่นหุ้นที่ราคาขึ้นน้อยกว่า หรือเข้าลงทุนหุ้นขนาดเล็ก ที่จะได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะหุ้นใหญ่เริ่มไปไม่ไหว”

ทั้งนี้ ปัจจัยจากต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังออกมาดีต่อเนื่อง รวมถึงยุโรปในบางส่วน ขณะที่เรื่อง Brexit นั้นผลกระทบต่างๆ ตลาดได้รับรู้ไปแล้วจากการคาดการณ์วิเคราะห์ต่างๆ ซึ่งจากนี้ไปต้องก็รอดูว่าจะมีนัยอะไรจริงๆ ออกมาอีก ส่วนการประชุม 2 ธนาคารกลางใหญ่ คือ FOMC วันที่ 26-27 ก.ค. และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) วันที่ 28-29 ก.ค.นั้น การประชุม FOMC ตลาดไม่ได้คาดหวังอะไร ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีทำให้ Fed พร้อมขึ้นดอกเบี้ย แต่สถานการณ์ในเรื่อง Brexit และความไม่พร้อมของตลาด กล่าวคือ ประเทศส่วนใหญ่กำลังจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม แต่ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นการทำที่สวนทางประเทศอื่น

ดังนั้น การประชุม BOJ ตลาดคาดหวังไว้มากกว่าน่าจะมีมาตรการออกมาบ้าง ทั้งในเรื่องดอกเบี้ยที่ปัจจุบัน ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ -0.10% และมาตรการอื่นที่จะกดค่าเงินเยนให้อ่อน หรือทรงตัวในระดับต่ำ นอกจากนี้ในเรื่องการก่อการร้ายของยุโรปมีมากขึ้นเรื่อยๆ มีผลต่อหุ้นสายการบินในยุโรป ซึ่งยังไม่กระทบต่อราคาน้ำมัน แต่หากมีเหตุการณ์ใหญ่ จึงจะมีผลกระทบ ซึ่งราคาน้ำมันดิบ WIT ปิดล่าสุด 44 เหรียญสหรัฐ ต่ากว่า 45 เหรียญสหรัฐแล้ว เรามองเป็นลบจากการที่ราคาน้ำมันดิบหลุดจากฐานที่ 45 เหรียญสหรัฐ ลงมา เพราะมีความกังวลต่อการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ กับ OPEC ที่กำลังเพิ่มระดับขึ้น และมีผลต่อผู้ผลิตน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมัน แต่จะยังคงดีต่อเนื่องสำหรับผู้ใช้น้ำมัน ผู้ผลิตปิโตรเคมี ทั้งต้นน้ำ และปลายน้ำ

สำหรับปัจจัยในประเทศนั้นผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มธนาคารที่รายงานมาแล้ว ลดลง 2% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 5% เทียบระหว่างไตรมาสต่อไตรมาส ขณะที่กลุ่มพลังงานกับปิโตรเคมีนั้น บล.เคทีบี ทำประมาณการเบื้องตันจะลดลง 3% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 8% เทียบระหว่างไตรมาสต่อไตรมาส โดยหุ้นทั้งสองกลุ่มที่สัดส่วนกำไรค่อนข้างสูงอยู่ที่ 42% ในไตรมาส 2 ปี 2559 ที่ดีขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2559 จึงคาดว่า มีแนวโน้มที่กำไรตลาดหลักทรัพย์จะออกมาดีกว่าที่เคยคาดไว้ที่ 2.1 แสนล้านบาท ส่วนยอดขายรถยนต์เดือน มิ.ย. รายงานโดย Honda ออกมาแล้ว อยู่ที่ 63,792 คัน เพิ่มขึ้น 5.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 3.4% เทียบเดือนต่อเดือน ตัวเลขยอดขายที่ออกมาดี น่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์

อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้หุ้นที่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่เด่นๆ ได้แก่

BBL เนื่องจากราคาหุ้นร่วงตามกำไรในไตรมาสที่ 2 ที่ลดลง 10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่แนวโน้มจะดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่

CPALL เป็นหุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอ สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำเป็นในการครองชีพ

KCE รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการเติบโตของสินค้า IT

IRPC เป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานจะออกมาดี และได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง

SAT คาดแนวโน้มอุตสาหกรรมน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ขยับตัวดีขึ้น

BA จากการที่ราคาลงมามาก และได้ปัจจัยบวกจากเรื่องภาษีธุรกิจที่ได้รับ BOI

อย่างไรก็ดี หุ้นเด่นที่แนะนำ คือ ROBINS ที่มองว่ามีฐานรายได้ส่วนหนึ่งในต่างจังหวัด (สาขา ตจว. 31 และ กทม. 11) ซึ่งรายได้มีโอกาสโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเขตภูมิภาค (การช่วยเหลือจากภาครัฐฯ+สินค้าเกษตรที่ดีขึ้น) ยอดขายเฉลี่ยของสาขาเดิมมีการเติบโตกลับมาเป็นบวกแล้ว หลังจากโตติดลบมาหลายปี ขณะเดียวกัน ความสามารถในการทำกำไร (margin) ดีขึ้น จากการเพิ่มฐานรายได้ค่าเช่า และขายสินค้า Inter Brand และสินค้าของตัวเองมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังแนะนำซื้อ IRPC จากการที่บริษัทได้เริ่มทำ (Chemical Oxygen Demand : COD) ในโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV : Upstream Project for Hygiene and Value Added Product) แล้วตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาที่มีมูลค่าต่ำ (มีราคาขายต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบ) ให้เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงขึ้น เช่น วัตถุดิบโอเลฟินส์ขั้นต้นอย่าง โพรพิลีน เอทิลีน รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูปอื่นต่างๆ ซึ่งถือเป็นบวกกับ IRPC มาก ทำให้มูลค่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มขึ้น (เพิ่ม GIM สุทธิหลังหักต้นทุนได้ราว 1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) แล้ว หน่วยปรับปรุงคุณภาพดังกล่าวยังทำให้บริษัทสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ด้วย เพิ่มจากปัจจุบันที่ 180-185 พันบาร์เรลต่อวันเป็น 200-210 พันบาร์เรลต่อวัน ซึ่ง IRPC จะได้ผลบวกดังกล่าวช่วยหนุนผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PP (โดยใช้วัตถุดิบเป็นโพรพิลีนที่ได้จากโครงการ UHV) และโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ PP compound ในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคง และเสถียรภาพทางกำไรให้กับ IRPC ได้อีกด้วย

“เราจึงแนะนำซื้อ IRPC ราคาเหมาะสมที่ 5.40 บาท โดยมองว่าบริษัทน่าจะได้ปัจจัยบวกจากการทำ COD ดังกล่าว และอาจปรับประมาณการอีกครั้งหากผลบวกจาก UHV ดีกว่าที่คาด ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ยังคาดว่าจะออกมาดี แม้ค่าการกลั่นจะอ่อนตัวลง แต่คาดส่วนต่างของปิโตรที่ดีขึ้นในไตรมาส 2 จะช่วยพยุงให้กำไรออกมาดีตามคาดได้”
กำลังโหลดความคิดเห็น