ผู้ว่าการ ธปท.มองผลงานรัฐบาลในรอบ 2 ปี ชัดเจนเรื่องการลงทุนโครงภาครัฐ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และพัฒนาศักยภาพประเทศ พร้อมระบุยังติดตามการบริโภคภาคเอกชน ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ แม้จีดีพีจะโตเพิ่มเป็น 3.2% ส่วนกรณีไอเอ็มเอฟเพิ่มหยวนเป็นส่วนหนึ่งในตะกร้าเงิน ธปท.ได้เตรียมพร้อมมานานแล้ว
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายหลังการเปิดการสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2559 เรื่อง มิติใหม่ของนโยบายเศรษฐกิจในยุคแห่งข้อมูลถึงผลงานของรัฐบาล พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสแถลงผลงานครบรอบ 2 ปี ของรัฐบาล โดยระบุว่า ช่วงที่ผ่านมา นโยบายการคลังมีบทบาทต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2558 รัฐบาลลงทุนในโครงการภาครัฐ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และรัฐบาลได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ยอมรับว่ามาตรการ และการลงทุนดังกล่าวยังไม่เกิดผลทันทีต่อภาวะเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ และในประเทศ แต่การลงทุนของภาครัฐถือเป็นการสร้างฐานให้เกิดการจูงใจ และมีการลงทุนจากภาคเอกชนตามมา เห็นได้จากตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมใหม่ หรือ S-CURVE เพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตสินค้าของไทย และเพิ่มศักยภาพของประเทศระยะยาว
ส่วนกรณีที่รัฐบาลควรจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มหรือไม่ นายวิรไท กล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้น นโยบายการคลังเป็นกลไกทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การใช้มาตรการกระตุ้นการบริโภคได้ผลแค่ระยะสั้น ดังนั้น รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการลงทุน ทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค รวมถึงการลงทุนภาคเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขัน
“มองว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เท่ากับความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว เป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างศักยภาพของประเทศ”
ส่วนการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นเติบโตร้อยละ 3.2 จากเดิมคาดว่าโตร้อยละ 3.1 นั้น เป็นผลมาจากการบริโภคภาคเอกชนไตรมาส 2 ที่ดีขึ้นกว่าคาด ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากมาตรการชั่วคราว
ดังนั้น ยังต้องติดตามต่อเนื่องว่า การบริโภคภาคเอกชนไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ยังจะดีต่อเนื่องหรือไม่ รวมทั้งติดตามคุณภาพหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของสถาบันการเงินในธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และพาณิชยกรรมในภูมิภาค ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และภัยแล้ง โดยทาง ธปท.ได้หารือกับธนาคารพาณิชย์ต่อเนื่อง เพื่อให้ดูแลทั้งคุณภาพสินเชื่อ และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
นายวิรไท กล่าวว่า สัปดาห์หน้า ธปท.จะเชิญคัสโตเดียนที่ดูแลนักลงทุนถือตราสารหนี้มาทำความเข้าใจในการรายงานข้อมูลการถือตราสารหนี้ว่า นักลงทุนเป็นผู้ถือตราสารประเภทใด เช่น สถาบันการเงิน นักลงทุนผู้มีถิ่นฐานอยู่นอกประเทศ หรือ NR รวมทั้งประเภทพันธบัตรที่ถือ และอายุพันธบัตร เพื่อที่ ธปท.จะได้มีข้อมูลในการประเมินการลงทุนในตลาดพันธบัตร และการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างๆ เพื่อนำไปพิจารณาดำเนินนโยบายที่เหมาะสมในอนาคต
ส่วนกรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ให้เงินหยวนเป็นส่วนหนึ่งในตะกร้าเงิน (SDR) มองว่า ธปท.เตรียมพร้อมมานานแล้ว โดยเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินหยวน และให้การสนับสนุนการค้าระหว่างไทย และจีน โดยการใช้เงินสกุลหยวนมากขึ้น เพราะมีความผันผวนน้อยกว่าเงินสกุลหลัก ดังนั้น จึงขอให้ผู้ส่งออก และนำเข้าใช้เงินหยวน และเงินสกุลภูมิภาคในการทำการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น